วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

ห้องดับจิตที่ป่ากล้วย


ห้องดับจิตที่ป่ากล้วย

พ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งพ่อยังหนุ่มๆ พ่อทำงานเป็นช่างไม้อยู่ที่โรงเรียน ที่เขากำลังสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลังหนึ่ง เพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น ตอนนั้นก็ประมาณปี พ.ศ. 2508 ได้กระมัง ฉันอายุประมาณ 8 ขวบ และเพิ่งเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน ข้างๆ โรงเรียนจะเป็นวัด เอ...พูดไม่ถูกสิ ข้างๆ วัดเป็นโรงเรียน ต่างหาก เพราะโรงเรียนปลูกอยู่ในที่ของวัด เลยไปก็เป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นใหม่ แต่ยังสร้างไม่เสร็จ ถัดออกไปทางด้านที่ติดกับคลอง เลยถนนหลวงเข้าไปหน่อยจะเป็นโรงโกดัง (โรงเก็บศพ) สมัยนั้นเขาเรียกกันอย่างนี้ หรือเรียกให้หรูว่า ห้องหลังความตาย แต่ที่โรงพยาบาลเรียก ห้องดับจิตหรือห้องเย็น

ก่อนที่เขาจะทำการเผาผี ต้องไปเอาโลงศพออกมาจากโกดังนี้ เขาจะมีชื่อเขียนไว้ข้างโลง สมัยนั้น ฉันค่อนข้างจะเป็นเด็ก ซุกซนเหมือนผู้ชาย เคยเข้าไปช่วยเขา เลือกโลงศพ ตามชื่อที่ญาติจะนำออกมาเผา แต่ก็เคยครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งเดียวจริงๆ

ถึงใครจะว่าเด็กกลัวผี ถ้าเป็นตอนกลางวันน่ะ จะไม่ค่อยกลัว แต่พอกลางคืน เป็นตาขาวทุกที ใครจะใช้ให้ไปหยิบอะไรในที่มืดๆ เช่น ให้ไปตักน้ำที่โอ่งในครัว หรือให้ไปเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำที่หก ฉันเป็นต้องอิดออด ไม่อย่างนั้นก็จะต้องฉวยตะเกียงน้ำมันก๊าด ติดมือไปด้วย เลยทำให้คนที่นั่งล้อมวงอยู่ ไม่มีตะเกียง ก็จะมืดสนิทชั่วคราวจนโดนเอ็ดบ่อยๆ ว่าไม่มีมารยาทบ้างล่ะ ซุ่มซ่ามบ้างล่ะ กระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกบ้างล่ะก็ช่างปะไร ฉันซะอย่าง

เรื่องพฤติกรรมความห้าวของฉัน ก็พ่ออีกนั่นแหละที่เป็นคนเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปช่วยสัปเหร่อขนโลงศพคนตายออกมาจากโกดัง ซึ่งฉันก็ยังจำได้ดี ช่วงนั้น พ่อเลิกงานและไปแวะรับฉันที่โรงเรียน เพื่อจะกลับบ้านพร้อมกัน พอเดินผ่านวัด สัปเหร่อที่วัดก็วานให้พ่อช่วยยกโลงออกจากโกดัง เพราะคนที่ตายตัวใหญ่มาก สัปเหร่อ กับเด็กวัดสองคนยกไม่ไหว สมัยหนุ่มๆ พ่อยังแข็งแรงและเป็นคนมีน้ำใจด้วยเลยช่วย ส่วนฉันเป็นคนดู หลังจากยกโลงศพออกมาแล้ว เขาให้รีบปิดโรงโกดังทันที เหตุผลน่ะหรือ เนื่องจากจะมีกลิ่นจากศพที่วางซ้อนๆ กันอยู่โชยออกมาและข้างในโรงโกดังเก็บศพ ก็สกปรก มีทั้งหนู ทั้งแมลงสาบ วิ่งกันให้พล่านไปหมด ไม่เคยมีใครเข้าไปทำ ความสะอาดเลย และก็กลัวว่าแมวหรือหมา จะแอบเข้าไปตอนเราเผลอ เพื่อจับหนู หรือเข้าไปหาอะไรกิน แล้วเราไม่รู้ ก็จะขังมันไว้ข้างใน มันอาจจะตายด้วยความทรมาน เพราะในนั้นทั้งร้อนและไม่มีอากาศหายใจเลย

วันที่พ่อไปช่วยเขายกนั้น เป็นวันศุกร์ รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พ่อก็เลยพาฉันไปช่วย ลุงสัปเหร่ออยู่ที่วัดจนมืดค่ำ ตอนออกมา จากวัดนี่สิ บรรยากาศมันทั้งเงียบทั้งมืด เสียจนขนาดเด็กที่ไม่กลัวผีอย่างฉันก็แทบจะทนกับความวิเวกวังเวงไม่ได้

ขณะที่เดินผ่านโรงโกดังมาตามถนน จะมีป่ากล้วยเป็นแนวยาวขนานไปกับถนน จนติดชายคลอง ฉันกับพ่อเดินติดกัน แสงไฟจากไฟฉายที่ลุงสัปเหร่อให้มาไม่พอแก่การมองเห็นไปไกลๆ
ทันใด...ก็ได้ยินเสียงเหมือนประตูโรงโกดังเปิด

พ่อฉายไฟแวบเข้าไปเพื่อตรวจตรา หากมีหมาแมวมันไปตะกุยประตู แล้วกลอนหลุด มันอาจจะมุดรอดเข้าไปได้

แต่.. ไม่มี.. เอาแล้วสิ ให้ตายเถอะโรบิ้น !

ฉันเริ่มออกอาการระแวงขึ้นมาเล็กน้อย พ่อกับฉันหยุดเดินกะทันหัน เมื่อมีแมวดำวิ่งผ่านหน้าไป และวิ่งหายเข้าไปทางป่ากล้วย เขาว่ากันว่าแมวดำ เป็นแมวปีศาจ ตาฉันคงไม่ฝาด เพราะพ่อก็หยุดเดินเหมือนกัน
“พ่อๆ แมววิ่งไปทางโน้น”
“อย่าทักซิ สอนไม่จำ เห็นอะไรกลางคืนห้ามทัก”
ฉันสงบปากสงบคำอย่างว่าง่าย
“พ่อจ๋า ฉันเดินไม่ไหวแล้วขอขี่หลังนะ” แล้วพ่อก็ให้ฉันขี่หลัง เพราะพ่อรู้ว่าฉันนั้นตาขาวขนาดไหนขืนให้เดินเอง คงไปไม่ถึงบ้านแน่ๆ
พ่อเดินมาจนเกือบสุดป่ากล้วย ที่บนถนนแล้วก็จริง แต่เสียงสวดศพที่ศาลา 1 ก็ยังดังแว่วๆ มา แล้วคุณคิดดูสิ มันจะวังเวงขนาดไหน ไม่ต้องดึกมากหรอก แค่ 2 ทุ่ม นี่แหละ
โน่นไง.. เอาเข้าแล้ว มาเป็นแพเลย ป่ากล้วยที่ฉันเห็นตอนกลางวัน ขณะนี้มันมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ต้นกล้วยเอนไปเอนมาเหมือนอย่างกับถูกคนจับโยก เอนไปทางซ้ายก็เอนไปพร้อมๆ กัน เอนไปทางขวา ก็เอนไปพร้อมๆ กัน แต่พอพ่อฉายไฟไปดูมันก็หยุด พอเราเดินต่อมันก็เอาอีกแล้ว เล่นเอาเถิด จนเราขนหัวลุก ไปตามๆ กัน
“ศพลุงแจ๋นี่เฮี้ยนเหลือเกิน” ฉันคิด แต่ไม่กล้าจะพูดกับพ่อ กลัวพ่อจะตวาดให้อีก

พ่อกับฉันเหมือนถูกสะกดให้ดู เหตุการณ์อยู่ตรงนั้น สักครู่ก็มีเงาดำทะมึน โผล่ขึ้นมาจากป่ากล้วย ลอยออกมา แล้วลอยไปแถวชายคลอง ฉันตาไม่ฝาดแน่ เพราะพ่อก็เห็น ฉันกรีดร้องสุดเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่ พ่อก็ออกวิ่งป่าราบ โดยไม่ลืมแบกฉันไปด้วย

พ่อแบกฉันวิ่งกลับเข้าไปในวัด ที่จัดงานศพ แล้วก็นั่งใจสั่นอยู่ข้างๆ ศาลา เพราะเราไม่ใช่ญาติ จะขึ้นไปก็กระไรอยู่ ลุงสัปเหร่อเดินมาดู แล้วเล่าให้ฟังว่า ที่บริเวณป่ากล้วยตรงนั้นมีคนเห็นมาเยอะแล้ว แต่ลุงไม่ได้เล่าให้พ่อฟัง เพราะกลัวจะกลับบ้านไม่ได้ และไม่คิดว่าคนดีๆ อย่างพ่อจะถูกเล่นงานด้วย
แม้แต่พระที่พายเรือไปบิณฑบาต ผ่านบริเวณป่ากล้วยข้างโกดังนี้ ในตอนเช้ามืด ก็ยังเห็น..นั่งห้อยขาอยู่ริมน้ำบ้าง ปีนไปอยู่บนต้นลำพูที่ขึ้นอยู่แถวตามชายคลองบ้าง บางคนอาการหนักหน่อย ก็เห็นรูปร่างสูงใหญ่ ถ่างขายืนคร่อมคลอง ทำเอาหันหัวเรือพายหนีกันแทบไม่ทัน จนไม่มีใครอยากผ่านทางนี้ตอนเวลาโพล้เพล้ หรือมืดค่ำเลย บางที พระที่บวชใหม่ๆ พายเรือไปเจอก็จ้ำเรือหนี จนเรือล่มก็มี ปิ่นตงปิ่นโต จมน้ำหายหมด
ซึ่งเจ้าอาวาสเองท่านก็ปรึกษากับ มรรคทายกอยู่ว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ชาวบ้านและพระสบายใจขึ้น บางที ถ้าเราย้ายโรงโกดังออกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง ที่ไกลทางเดินและคลองก็คงจะดี
ซึ่งหลังจากวันที่ลุงสัปเหร่อเล่าให้พ่อฟัง ผ่านไปได้แค่วันเดียว ลุงสัปเหร่อ ก็ตาย เลยทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปย้าย โรงโกดังของเหล่าวิญญาณที่ยึดพื้นที่เพื่อปฏิบัติการหลอกหลอนมนุษย์และพระต่อไปอีก และชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้าเดินตอนกลางคืนคนเดียว ต้องมากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ สำหรับพระเองท่านก็จะออกบิณฑบาตเมื่อสว่างแล้ว เป็นการแก้ปัญหา เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเหมือนลุงสัปเหร่ออีกนั่นเอง
ปัจจุบันนี้ที่วัดไม่มีโรงโกดังอีกแล้ว (ค่อยยังชั่ว) แต่ยังมีเรื่องเล่าขานกันต่อๆ มา และทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่า ฉันก็ยังขนลุกขนพองอยู่ทุกครั้ง

อดีตพยาบาล


ที่มา
http://www.koosangkoosom.com/pages/ghost_detail.asp?hidID=7

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม