วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

8 วิธีเห็นผี!! ทดลองจริงจาก 50 คน

8 วิธีเห็นผี!! ทดลองจริงจาก 50 คน


เคล็ดลับที่สำคัญ
1. ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน และต้องไม่เลยเที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่
2. ทุกวิธีห้ามใส่พระ ยกเว้นวิธีที่8
3. วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นมากที่สุดคือวันพุธ และ วันอาทิตย์
4. คนที่มีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือคนที่เกิดวันพุธ วันศุกร์ และ วันอาทิตย์
5. ทุกวิธีอาจจะให้มีคนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุว่าคุณต้องทำคนเดียว
6. ทุกวิธีที่ต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา

*วิธีที่1* “มองลอดใต้หว่างขา” (เห็นผี 21 คน)

1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริง ๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี

2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้ม
จะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก

3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้ แต่ห้ามพนมมือ)

4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้า ๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม (ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า
“พุทโธทายะ” (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3 ครั้งด้วย)
***เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า
“พุทโธทายะ” และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3

5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้ แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้ และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้ เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้

6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด) เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว “ให้ตั้งสติดี ๆ” แล้วลืมตา

7. แล้วผีจะมาให้เห็น
***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็นจะอยู่ไกล หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน***
1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที
2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย
3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง “พุทโธ” แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง



*วิธีที่2* “ตัดเล็บตอนกลางคืน” (เห็นผี 12 คน)

***ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่”***

1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง ,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง)
โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย
*เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บ มิเช่นนั้นจะไมได้ผล*

2. น้ำเศษเล็กที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว ไม่ใช่ผ้าใหม่)

3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พัก

4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง “แก๊กๆ” นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ

5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้ (เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน

6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้ คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ

7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)



*วิธีที่3* “หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย” (เห็นผี 16 คน)

วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น

วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที

นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย

1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที

2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที

3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี

4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ) แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7) แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น

5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี



*วิธีที่4* “ดีดลูกคิดตอนกลางคืน” (เห็นผี 32 คน)

ลูกคิดที่ใช้ดีด ให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น

ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก

1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา

2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ) ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย

3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก

4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น

5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม* นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด

คนอวดผี.jpg


*วิธีที่5* “เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน” (เห็นผี 6 คน)

1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว)

2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา)

3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น



*วิธีที่6* “ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว” (เห็นผี 31 คน)

ต้องทำคนเดียว

1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า (ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง)

2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า)

3. แล้วผีจะมาให้เห็น



*วิธีที่7* “แหงนหน้ามองตรงบันได” (เห็นผี 42 คน)

ต้องทำคนเดียว

1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ (ใช้ก้อนลงบันได้นั่นเอง)

2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด

3. แล้วผีจะมาให้เห็น



*วิธีที่8* “สวมพระกลับหลัง” (เห็นผี 28 คน)

ต้องทำคนเดียว
1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย)

2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น

3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็น

ที่มา
http://www.xn--42c6aon7c9a9c.com/?fromuid=27692

นางเงือกตัวจริง

นางเงือกตัวจริง

เรื่องเล่าเช้านี้ ภาพติดวิญญาณ

เรื่องเล่าเช้านี้ ภาพติดวิญญาณ

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

พบกันที่บางบาล

พบกันที่บางบาล

"ป้าณี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคราวน้ำท่วมใหญ่

ป้าเป็นคนบางบาล อยุธยา มาตั้งแต่เด็กจน สาว ตอนนี้ปาเข้าไปห้าสิบกว่าๆ แล้ว เคยผจญเวรผจญกรรมกับน้ำท่วมมานับครั้งไม่ถ้วน มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ต้องเจอะเจอเข้าทุกปีแหละค่ะ ไม่รู้เวรกรรมอะไรนักหนา

ยิ่งเข้าหน้าฝนเป็นใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ไปหมด แต่ถ้ารอดไปถึงหน้าน้ำก็ต้องลุ้นระทึกอีกว่าจะเจอน้ำเหนือบ่าลงมาเจิ่งนองสุดลูกหูลูกตาเหมือนปีก่อนๆ อีกหรือเปล่าหนอ?

ส่วนมากน่ะไม่ค่อยรอดหรอกค่ะคุณ!

ฟังวิทยุหรือดูทีวีแล้วใจหายใจหกทุกทีไป ไม่ว่าจะเป็นพายุจากทะเลจีนใต้ เข้าฟิลิปปินส์แล้วจะพุ่งเข้าเวียดนามก่อนโจมตีไทย แม้จะกลายเป็นดีเปรสชันที่เบาบางลง แต่บ้านเราก็โดนเต็มๆ ทั้งอีสาน เหนือ และภาคกลาง ล่ะค่ะ

ขนาดน้ำท่วมหนัก บ้านช่องไร่นาพินาศวอดวายผู้คนเดือดร้อนกันนับแสนๆ ครอบครัวเชียว เจ้าประคุณเอ๋ย เมื่อไหร่ทางการจะแก้ไขปัญหาซ้ำซากนี้ได้สำเร็จเสียทีหนอ?

ก่อนนั้นตอนหน้าร้อน กรมชลฯ ก็ไม่ยอม "พร่องน้ำ" จากเขื่อนลงมา อ้างว่าถ้าเกิดฝนแล้ง จะทำยังไง? พอโดนพายุกระหน่ำ ฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว 3 วัน 3 คืนก็ตาลีตาเหลือกปล่อยน้ำลงมาแทบหายใจหายคอไม่ทัน ตั้งแต่เหนือลงมาจนถึงภาคกลาง สิงห์บุรี อยุธยา กับอ่างทองก็รับไปเต็มๆ น่ะซีเจ้าคะ

อีกแค่ 2-3 วันก็ทะลักถึงปทุมธานี นนทบุรี แล้วกรุงเทพฯ รอบนอกจะไปมีอะไรเหลือล่ะ ทูนหัว?

น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีก่อน ป้ากับลุงดันไปเจอะเจอเรื่องสยองขวัญเข้าเต็มเปาค่ะ!

ปีนั้นน้ำท่วมสาหัส มีคนตกน้ำตายไป 3 คน เผาผีก็ไม่ได้เพราะน้ำท่วมเมรุ คนที่ดันทุรังขนศพลงเรือไปวัดก็เกิดเรือล่ม ...ทั้งคนทั้งศพในโลงถูกกระแสน้ำพัด กระเจิงไป คิดดูเถอะค่ะว่าน่าขนลุกขนพอง แค่ไหน?

พวกเราละแวกใกล้เคียงกัน ไม่ว่าบางชะนี กบเจ่า หรือบางบาลบ้านป‰าน่ะ นอกจากพวกหากุ้งหาปลาแล้วยังชอบใช้เรือไปมาหาสู่กันในย่าน ใกล้ๆ ผิดกับพวกคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เขาห้อปิกอัพ ควบมอเตอร์ไซค์กันตามยุคตามสมัย แต่คนรุ่นป้าน่ะไม่เอาด้วยหรอก บอกตรงๆ ว่าหวาด เสียวซะไม่มี

อ้าว? อุตส่าห์ใช้เรือแล้วยังไม่วายโดนผีหลอกซะอีกแน่ะ!

สาเหตุจากที่ป้าได้ข่าววˆาพี่สาวลื่นหกล้มบนนอกชานบ้าน เพราะมาเก็บข้าวเก็บของที่พอจะขนหนีน้ำได้ กับรอรับข้าวน้ำกับถุงยังชีพ ที่มีตกๆ หล่นๆ บ้าง รับแล้วก็ได้รับอีกบ้าง...คนช่วยเหลือมีน้อยกว่า ต้องไปทางเรือลำบากลำบนน่าเห็นใจ... ไม่ว่าอะไรกันหรอกค่ะ

หลานชายมันพายเรือมาส่งข่าวที่บ้านกุ่ม บาง บาล บอกว่าไม่รู้จะส่งโรงพยาบาลได้ยังไงตอนนี้ ก็ใช้ยากินยาทาตามแบบพื้นบ้านปะทะประทังไปก่อน ป้าเลยชวนลุงให้ลงเรือไปเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการด้วยกัน

ขาไปก็ไปกับหลานชาย เรือคนละลำ เมื่อถึงบ้านก็เห็นพี่สาววัยใกล้ หกสิบนอนซม แต่ยังพูดจากันรู้เรื่อง กำลังใจยังดีค่ะ บอกว่าไม่หนักหนาอะไรหรอก อีกไม่กี่วันก็คงลุกได้ น้ำท่าคงจะลดแล้ว จะห่วงก็แต่ข้าวในนาที่ยังจมอยู่ใต้น้ำเท่านั้น

ราวห้าโมงเย็นป้าก็ลากลับ หลานชายจะพายเรือมาเป็นเพื่อน ป้าก็บอกปัดว่าไม่ต้องเหนื่อยแรงเสียเวลาหรอก ให้ดูแลแม่เชื้อทางนี้ดีกว่า ถ้าน้ำลดแล้วจะมาเยี่ยมเยียนกันใหม่

แล้วป้ากับลุงก็พายเรือ กลับบ้าน...

ป้าพายหัว ลุงพายท้าย ขา กลับไปตามน้ำเลยไม่ค่อยเหนื่อยแรงเท่าไหร่ ป้ามองอะไรซ้ายขวาเล่นเพลินๆ เพราะแม่น้ำมันกว้างขวาง ดูเวิ้งว้างน่าใจหาย สองฝั่งมีต้นไม้หนาทึบ เสียงลมพัดหวีดหวิวระคนกับเสียงพายจ้วงน้ำจ๋อมๆ กอสวะใหญ่น้อยลอยลิ่วๆ ไปทางป่าโมก

ใกล้บ้านเข้าไปทุกที เมฆหนาทึบลอยต่ำ ป้าถอนใจเฮือกใหญ่...ฝนฟ้าขออย่าได้ซ้ำเติมกันอีกเลย เจ้าประคุณเอ๋ย!

ทันใดนั้นเสียงโพล่ง! ก็ดังขึ้นใกล้ๆ เรือกะทันหัน...ใครคนหนึ่งชูมือขึ้นมาเหนือน้ำ ได้ยินแว่วๆ ว่าช่วยด้วย...ลุงวางพายลง เอื้อมไปคว้ามือนั้นผิดๆ ถูกๆ ส่วนป้าก็ละล้าละลัง ใจเต้นโครมครามเมื่อเห็นคนกำลังจะจมน้ำตายต่อหน้าต่อตา

ในที่สุดลุงก็คว้าข้อมือไว้ได้ ดึงแรงๆ พร้อมกับร่างนั้นทะลึ่งพรวดขึ้นมาเกือบถึงอก...ตาเทียนคนบางบาลนั่นเองที่หวิดจะจมน้ำตาย หน้าตาเหลือกลาน สำลักน้ำยกใหญ่

จู่ๆ ป้าก็นึกขึ้นมาคล้ายฟ้าแลบวาบเข้าสมอง... ตาเทียนจมน้ำตายแล้วนี่นา!!

ลุงก็คงเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อเห็นหน้าขาวซีดเริ่มเปื่อยจนเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ นัยน์ตาลึกกลวงเหมือนถ้ำนรกที่ล้ำลึก ปล่อยมือออกพลางผงะหน้าร้องลั่นว่า ผีหลอกโว้ย! ผีหลอก...

ผีตาเทียนจมวูบไปในสายน้ำขุ่นคลั่ก เราจ้ำพายกันไม่คิดชีวิต...ขนหัวลุกซีคะ!

ไปสู่ความหลัง

ไปสู่ความหลัง

"หนุ่มน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพลงอีแซว

ผมเคยเป็นหนุ่มสุพรรณฝันหวานเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ เสียหลายปี แถมทำการทำงานมีครอบครัวอยู่ในเมืองหลวง จนลูกเต้าใกล้จะเรียนจบไปตามๆ กันแล้วล่ะครับ

อาศัยว่าบ้านเดิมอยู่ใกล้ๆ แค่นี้ รถแล่นสองชั่วโมงจนเหลือแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ผมเลยไปเยี่ยมบ้านบ่อย อย่างน้อยก็เดือนละครั้งให้พ่อแม่ชื่นใจ ไหนจะได้เจอะเจอเพื่อนฝูงทั้งหญิงและชายที่เติบโตมาด้วยกัน พูดคุยกันถึงความหลังตั้งแต่สมัยเด็ก จนแตกหนุ่มแตกสาว มีผัวมีเมีย ลูกเต้าเป็นพรวนไปหมดแล้ว

นอกจากนั้น ยังมีญาติมิตรกับคนอื่นๆ ที่เราเรียกขานกันว่า "พวกบ้าน" สำเนียงสุพรรณเซ็งแซ่ไปหมด คนกรุงเทพฯ เขาว่าพวกเราพูดเหน่อ แต่คนเก่าแก่บ้านผมกลับออกปากว่า...กรุงเทพฯ ก็อยู่ไม่ไกล ทำไมคนที่นั่นมันถึง "พูดเยื้อง" กันทุกคนเลยวะ ไอ้หม่า?

"พูดเยื้อง" ก็หมายถึง "พูดเหน่อ" นั่นแหละครับ

เมื่อเดือนก่อนผมพาลูกหลานเป็นโขยงไปเยี่ยมบ้าน ได้ข่าวว่าตากรายเป็นโรคปอดตาย เพิ่งเผาไปเมื่อวันก่อนนี่เอง...นึกถึงแล้วใจหายเหมือนกัน เพราะจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ชอบฟังนิทานของแก ไม่ว่าเรื่องตลก เรื่องผี เรื่องเพลงพื้นเมืองโด่งดังประจำจังหวัด "เพลงอีแซว" ไงล่ะครับ ตากรายแกเล่าได้สนุกสนานดีนัก

ชื่อแกก็คล้ายกับ "พ่อกร่าย" พ่อเพลงรุ่นพ่อไสว พ่อบัวเผื่อน พ่อโปรย...ตากรายบอกว่าแต่ก่อนเพลงอีแซวที่พ่อไสวสันนิษฐานว่าคงจะมาจากการ "ร้องแซวกันทั้งคืน" แต่เดิมขึ้นต้นว่า...ตั้งวงไว้เผื่อ ปูเสื่อไว้ท่า เอย...จะให้วงฉันราซะแล้วทำไม เอย...

ตากร่ายเป็นคนทำให้มีการเปลี่ยนคำขึ้นต้นเป็น...เอ้ามาเถอะหนากระไรแม่มา...แล้วแตกช่อต่อดอกไปตามใจชอบ เช่น แม่คุณอย่าช้านะแม่หน้านวลใย, แม่จะมัวชักช้าอยู่ทำไม

จนกระทั่งเอามาเล่นมุขโลดโผน เช่น ไหนๆ พี่ก็มาหาถึงที่ แล้วน้องจะมัวยืนคลำเก้าอี้อยู่ทำไม? เพื่อเรียกเสียงฮาจากท่านผู้ชม

จำได้ว่าแม่เพลงดังๆ รุ่นนั้นก็มีแม่ตลุ่ม แม่บัวผัน ลงมาถึงแม่ขวัญจิตที่เล่นอีแซวมาตั้งแต่เด็ก จนโด่งดังได้เป็นศิลปินแห่งชาติแบบแม่บัวผัน เดี๋ยวนี้ก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว แต่ยังมีชื่อเสียงไม่ลดราลงไปเลย

คืนนั้นผมแยกย้ายจากเพื่อนฝูงเก่าๆ ที่ร้านในตลาดกลับบ้าน แสงจันทร์ขาวนวลอย่างที่เขาเรียกว่า "แทบจะจับมดได้" มาถึงบ้าน ลมเย็นฉ่ำพัดโชยไม่ขาดสายทำให้อาการมึนนิดๆ แทบจะหายไปจนหมดสิ้น ขณะที่เสียงอะไรคุ้นๆ หูดังล่องลอยมาตามลม...

เสียงเพลงพื้นบ้านแน่ๆ แต่แทนที่จะเป็นอีแซว กลับเป็นเพลงฉ่อยที่ไม่มีรำมะนา แต่เป็นเสียงกลองสองหน้า ฉิ่ง กรับและการตบมือให้จังหวะครึกครื้น

คุณพระช่วย! เสียงแม่บัวผันครับ สุดยอดแม่เพลงอีแซวแห่งเมืองสุพรรณบุรี!

"เอย...เขาว่าคนเราเกิดมาย่อมจะมีขันธ์ 5 ไม่ว่าทั้งหญิงทั้งชาย หนุ่มตายก่อนแก่ แก่ตายก่อนหนุ่ม เขาตายกันเสียออกกลุ้มเอ็งรู้ไหม เขาเวียนเจ็บเวียนไข้เวียนตายเวียนเกิด เอากำหนัดมากำเนิดแต่ไหน เราเวียนเจ็บไข้ในวัฏสงสาร ชีวิตของเรามันจะนานไปซักแค่ไหน เอ็งจะหลงระเริงเพลิงมันจะเผา ชีวิตเอ็งจะเข้ากองไฟ เอ่ชา..."

ผมกระเดือกน้ำลายลงคอยากเย็น สายลมพัดผ่านยอดไม้ร่มครึ้มอยู่ในแสงจันทร์เหมือนจะโบกสะบัดเอาเสียงเพลงพื้นเมืองเก่าแก่ที่ซึมซับไว้หลายสิบปี ให้ล่องลอยออกมาขับกล่อมผู้คนในยามราตรีอันเยือกเย็นจับใจ!

เสียงพ่อเพลงตอบโต้ ผสมผสานกับเสียงคอสอง คอสาม ร้องขัดเข้าจังหวะ ดังกระท่อนกระแท่นเต็มที ไม่ชัดเจนเหมือนเสียงแม่เพลงเก่าแก่ ถ้าจำไม่ผิดก็คือแม่ตลุ่ม คู่ปรับตัวลือของพ่อกร่าย

"เอย...เอ็งมีเงินกี่กอง มีทองกี่หาบ มาถึงก็จะคาบเม็ดใน เอ่ชา..."

เสียงแม่บัวผันดังขึ้นชัดเจนอีกครั้ง สำเนียงละห้อยหวนคล้ายจะกล่าวคำอำลาอยู่ในที...

"วิสัยไก่ดีมันต้องตีกันด้วยแข้ง ถ้าเพลงดีว่า แดงค่อยกันไม่ได้...เราว่ากันพอนวลๆ พอหอมหวนปลายหู ผู้คนเขาก็ดูกันได้ เอ่ชา..."

ผมยืนนิ่งงันอยู่ที่ระเบียงบ้านเหมือนกลายเป็นรูปปั้น สายลมเย็นยะเยือกหอบเอาเสียงเพลงและเสียงดนตรีคึกคักระคนกับเสียงหัวเราะเฮฮา ล่องลอยไปกับสายลมยามดึกเหมือนการทักทายของอดีตกาลไม่ผิดเลย...

ขอยืนยันว่าไม่ได้หวาดกลัวต่อเสียงเพลงเก่าๆ เหล่านั้นหรอกครับ ตรงกันข้าม กลับซาบซึ้งต่อเสียงเพลงแห่งความหลังสมัยเด็กและวัยหนุ่มด้วยซ้ำ แต่ทำไมขนหัวลุกก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ!

คืนรับวิญญาณ

คืนรับวิญญาณ

"รักษิณา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนสยอง

สมัยเด็กดิฉันอยู่ในซอยสายลม สนามเป้า ซอยนี้เข้าไปมีหลายเลี้ยว ใช้เป็นทางลัดไปออกซอยสุทธิสาร 8 หรือไม่ก็สวนทางกันเพื่อหลบการติดขัดของจราจรก็ได้ค่ะ

บ้านติดกันคือบ้านป้าแจ่ม อายุ 70 เศษ รุ่นเดียวกับยายดิฉัน แต่แม่เรียกว่าป้าแจ่ม ดิฉันกับพี่ๆ น้องๆ ก็พลอยเรียกป้าแจ่มไปด้วย สังเกตว่าถ้าได้ยินพวกเราเรียกแบบนี้ทีไร ป้าแจ่มจะยิ้มละไม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความขบขันระคนพออกพอใจมากๆ เลย

ป้าแจ่มร่างเล็กบาง ผมดัดสั้นๆ ขาวโพลนเหมือนปุยสำลี...ยายเคยชมป้าแจ่มต่อหน้า ยังติดหูติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้

"แม่แจ่มผมขาวสวย น่าอิจฉาจริงๆ เพราะฉันใจไม่ถึงเหมือนแม่แจ่ม ไม่กล้าปล่อยขาว เลยต้องย้อมผมเดือนละครั้ง"

สามีป้าแจ่มเสียชีวิตไปเกือบสิบปี อยู่กับลูกๆ หลานๆ อีกหลายคน ตัวเองเป็นครูเก่า ออกมารับบำนาญกินทุกเดือนไม่เดือดร้อน ถึงสิ้นเดือนก็แต่งตัวออกไปรับบำนาญ ขากลับจะมีขนมและผลไม้มาฝากหลานๆ และเด็กข้างบ้านอย่างดิฉันกับพี่น้องเป็นประจำ

เมื่อดิฉันเรียน ม.ปลาย ป้าแจ่มก็ไม่ต้องไปรับบำนาญแล้ว แกบอกว่าตอนนี้เขาโอนเงินเข้าบัญชีให้เลย ดิฉันกับเพื่อนๆ ที่เคยไปวิ่งเล่นที่บ้านป้าแจ่ม ไปมาหาสู่กันเป็นประจำตั้งแต่เด็กจนรุ่นสาว ก็ยังไปหาป้าแจ่มตอนเย็น หรือไม่ก็วันเสาร์วันอาทิตย์อยู่เสมอ

ป้าแจ่มมีเก้าอี้นวมตัวโปรดอยู่ที่เฉลียงร่มรื่น มีทั้งกระดังงา, การะเวก, มหาหงส์ และสายน้ำผึ้งเลื้อยขึ้นตามค้าง ตอนหลังมีไม้เลื้อยพันธุ์ใหม่ ดอกสีขาวเป็นช่อหอมกรุ่น เราเรียกราชาวดี แต่ป้าแจ่มบอกเสียงหัวเราะว่า...ต้องเรียกไลแล็กซีจ๊ะ ถึงจะไม่เชย!

พวกเราขำกลิ้งไปตามๆ กัน ชอบฟังคำพูดแปลกๆ แต่น่าคิดน่าขำของป้าแจ่มทุกคนแหละค่ะ อย่างพูดถึงสวรรค์หรือเทวดา ป้าแจ่มก็จะบอกว่า

"โอ๊ย! อย่าไปสนใจเลยว่าข้างบนโน้นจะมีจริงหรือเปล่า หรือถ้าเกิดมีจริงๆ ป้าก็คิดว่าเขาคงไม่อยากยุ่งกับพวกเราหรอก"

แต่พวกเราก็มักจะมีปัญหาเรื่องการเรียน ทั้งการสอบไล่บ้าง สอบเอ็นท์ บ้าง...บางคนก็ผิดหวัง ทำ หน้าเศร้ามาหาป้าแจ่ม บางคนเงียบๆ เฉยๆ แต่บางคนหน้าตาซึมเซาเศร้าหมอง เอ่ยปากว่าจะทำยังไงดี ในเมื่อชีวิตมันไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดเลย!

ป้าแจ่มถอนใจยาว บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"เราก็ต้องฟันฝ่ามันไปน่ะซีจ๊ะ ถึงชีวิตจะผิดหวัง หม่นหมองแค่ไหน เราก็ต้องต่อสู้ต่อไป...ถ้าตอนนี้ยังยิ้มไม่ได้ ก่อนตายเราจะหัวเราะได้ยังไง? แต่ถ้าตายเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าได้หยุดพักไปตลอดกาลเมื่อนั้น"

ยุพดี เพื่อนรุ่นพี่ถามว่าตอนนี้ป้าแจ่มมีความหวังอะไรในชีวิตบ้างล่ะคะ?

คนอื่นๆ เงียบไปหมด แต่ก็อยากรู้คำตอบตรงกัน ป้าแจ่มถอนใจอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำข้าวเหม่อลอย เหมือนกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีตัวตน ก่อนจะฝืนยิ้ม

"ป้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้พบคนที่ป้ารักเสียที! ไม่ว่าพ่อ แม่ ญาติมิตรสนิทสนม สามีกับลูกชายคนโตที่ตายจากไปตั้งแต่เด็กๆ ป้าไม่เชื่อเรื่องสวรรค์-นรก แต่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง ใครอยากไปที่ไหนก็ได้ไปที่นั่น! คืนก่อนลูกชายป้าก็มาหา..."

ขณะนั้นราวห้าโมงเย็นกว่าๆ อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนจนดูเหมือนใกล้ค่ำ ลมพัดวูบ ยอดไม้ไหวซ่า เล่น เอาพวกเราเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก เสียงเยือกเย็นของป้าแจ่มก็ดังวู่หวิวคล้ายจะคละเคล้ามากับสายลม

"เขาบอกว่ามาหาแม่ มารอรับแม่...เวลาของแม่เหลือน้อยลงทุกทีแล้ว! พ่อกับตายายก็จะมารับแม่ด้วย...พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง! พวกเพื่อนๆ ของแม่อีกหลายคนก็จะมารับเหมือนกัน...ไปด้วยกันเถอะแม่! เราจะได้มีความสุขเหมือนวันคืนเก่าๆ ไงล่ะ..."

"ต๊ายตาย!" ยุพดียกมือทาบอก ทำตาโต "น่ากลัวจังค่ะ"

ดิฉันกลืนน้ำลาย ขนลุกซ่าไปทั้งตัว มองดูนัยน์ตาอมสุขของป้าแจ่มแล้วใจหาย...เป็นนัยน์ตาของคนที่พร้อมจะอำลาโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ด้วยความสุขและความหวังเต็มเปี่ยม

วันต่อๆ มาป้าแจ่มดูสดชื่นแจ่มใส มองพวกเราด้วยแววตายั่วเย้าและเอ็นดู

"จวนจะได้เวลาของป้าแล้ว อย่าคิดอะไรมากเลยหนู เมื่อคืนสามีป้าก็มาหา พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงอีกหลายคน...เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้หรอก! ความตายก็เหมือนการนอนหลับหรือฉากผ่านของชีวิต เป็นความฝันที่ไม่มีวันสิ้นสุดของคนเราเท่านั้นเอง"

จนกระทั่งคืนนั้น...เสียงหัวเราะเริงร่าดังมากระทบหูจนดิฉันสะดุ้งตื่น อากาศยามดึกเย็นยะเยือก เหมือนมีอะไรดลใจให้ลุกไปดูที่หน้าต่าง ตรงกับหน้าบ้านป้าแจ่มพอดี

หญิงชายกลุ่มใหญ่ยืนพูดคุยปนหัวเราะกันอยู่ที่ระเบียง ป้าแจ่มแต่งตัวเรียบร้อยเดินยิ้มแย้มออกมา ผมสีเงินยวงดูเป็นประกายอยู่ในแสงจันทร์...แล้วภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปจากม่านน้ำตาของดิฉันเอง!

ผู้หญิงในดงกล้วย

ผู้หญิงในดงกล้วย

"กระต่าย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากดงกล้วยที่อยุธยา

หนูมีญาติห่างๆ ชื่อ ป้ามล อยู่ที่จังหวัดอยุธยา ตอนปิดเทอมได้ชวนหนูกับน้องๆ ไปค้างที่บ้านสัก 2-3 คืน โดยมี พี่ติ๊ก อายุ 17 ปี ลูกสาวป้ามลเป็นคนพาเที่ยว

ตัวหนูเอง น้องแจ๊ก และ น้องจีน นั่งรถไฟไปกับ พี่อั๋น-เลขาฯ ของคุณแม่ เราสนุกมากค่ะ ตื่นเต้นดีจัง แป๊บเดียวก็ถึงอยุธยาแล้ว คุณป้ากับพี่ติ๊กเอารถมารับ แล้วยังแวะกินอาหารบุฟเฟต์ที่โรงแรม กรุงศรีริเวอร์ใกล้ๆ สถานีด้วย

วันนั้นหนูได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา พระราชวังจันทรเกษม ตอนเย็นก็ไปวัดไชยวัฒนาราม หนูประทับใจบรรยากาศมากๆ แล้วยังได้กราบเจดีย์เจ้าฟ้ากุ้งด้วยค่ะ

อาหารค่ำวันนั้นเป็นน้ำพริกผักต้มและต้มยำปลาแบบโบราณแสนอร่อย

บ้านคุณป้าอยู่ใกล้ๆ วัดกษัตราธิราช เป็นเรือนไทยและมีดงกล้วยอยู่ด้านหลัง พวกหนูกับพี่อั๋นนอนที่ห้องเล็กแต่สบายมาก ตอนแรกหนูคิดว่าเราจะกลัวผีเพราะมานอนเรือนไทยเก่าแก่ ไม่ต้องกางมุ้งด้วย อากาศไม่ร้อน แถมยังมีพัดลมตั้งอยู่ตัวหนึ่ง

เราปูที่นอน นอนเรียงกันบนพื้น ห่มผ้าแพรบางๆ สบายดีจัง

ก่อนนอนหนูดูทีวี คุยกับคุณป้า พี่ติ๊ก พี่อั๋นและน้องๆ แล้วน้องแจ๊กก็ออกไปเดินเล่นแถวลานต้นลั่นทมส่งกลิ่นหอมชื่นใจ หนูกับพี่อั๋นก็ชอบกลิ่นลั่นทมค่ะ น้องจีนอายุ 8 ขวบ ก็เดินไปกับเราด้วย เก็บดอกลั่นทมมาเยอะเลย บอกว่าจะเอามาร้อยเป็นพวงมาลัยอย่างฮาวาย

บ้านคุณป้ามลนี่น่าอยู่มากค่ะ คืนนั้นพระจันทร์ เต็มดวง ทุกอย่างดูสวยไปหมด โดยเฉพาะดงกล้วย ที่มีราว 30-40 ต้น พี่ติ๊กบอกปลูกไว้มีประโยชน์มาก ได้กินทั้งกล้วยที่หวานอร่อย วิตามินสูง ใบตองก็เอามาใช้ห่อของได้

อ้อ! ต้นกล้วยเอาไปหั่นเลี้ยงหมูก็ได้ ไส้ในก็เอามาแกงส้มใส่ปลาเล็กปลาน้อยก็อร่อยนัก หรือเวลาเทศกาลลอยกระทงคุณป้าก็จะตัดหยวกกล้วยเอามาทำกระทงขาย

กลางแสงจันทร์สว่างนวลแบบนี้ ต้นกล้วยทั้งกอดูสวยงาม โบกตองกับสายลมเหมือนมีชีวิตชีวาที่สดใสร่าเริง

ทันใดหนูร้องอุ๊ย! เพราะเห็นใบหน้าเรียวแหลมของผู้หญิงที่สวยเหมือนนางแบบ ผมดำยาว ตากลมโต เธอยิ้มให้หนูอยู่ในดงกล้วย น้องๆ กับพี่อั๋นถามว่ามีอะไรเหรอ? หนูก็ถามว่าเห็น นั่นไหม?

พอหันไปอีกที ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วค่ะ! หน้าหนูร้อนวูบแต่หลังเย็นวาบตาพร่าไปพักหนึ่ง...

พี่อั๋นบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ขนลุกหมดเลย! แล้วรีบพาพวกหนูขึ้นบ้าน พอเจอคุณป้าพี่อั๋นก็บอกว่าหนูเห็นผู้หญิงในดงกล้วย คุณป้ากลับหัวเราะแล้วพูดว่า...นางตานีละมั้ง?

หนูตื่นเต้นจริงๆ นะคะ ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีนางตานี หนูเคยอ่านเจอแต่ในหนังสือ พี่ติ๊กมาปลอบใจว่าไม่ต้องกลัวหรอก อาจจะเป็นเพื่อนบ้านเดินมาดูพวกเรา...หนูยังล้อเลยค่ะว่าแฟนของพี่ติ๊กละซี!

คืนนั้นหนูฝันถึงนางตานี เธอสวยจริงๆ หน้า เหมือนผู้หญิงที่หนูเห็น ห่มสไบสีเขียวอ่อน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดงคล้ำเหมือนปลีกล้วย มีดอกไม้ทัดหูด้วยค่ะ

พอตื่นขึ้นหนูก็วาดรูป หนูชอบวาดรูป... พยายามวาดให้เหมือนเพราะจำได้ติดตา

คุณป้ากับพี่ติ๊กดูรูปการ์ตูนที่หนูวาดแล้วยิ้มเฉยๆ แค่นี้ก็รู้แล้วล่ะว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นนางตานีแน่ๆ แต่ไม่เห็นน่ากลัวหรือใจร้ายแบบผีในหนังสือเลย พี่อั๋นซิคะกลัวมากเพราะไม่ได้เห็นอย่างหนู เลยคิดจินตนาการไปใหญ่

ถึงยังไงเราก็ยังค้างอยู่บ้านคุณป้าอีกคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นถึงได้นั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ

เวลาผ่านไปจากวันนั้นถึงวันนี้เกือบสองอาทิตย์แล้ว เรายังเถียงกันอยู่เลยค่ะ ว่าผู้หญิงที่หนูเห็นเป็นคนหรือผีกันแน่?

หนูเชื่อจริงๆ ว่าเธอไม่ใช่คนหรอกค่ะ!

ถ้าเป็นแฟนพี่ติ๊กจริง ก็คงจะเดินออกมาทัก ทายเราแล้วล่ะ และอีกอย่างหนึ่ง เธอจะไปยืนกลางดงกล้วยทำไมคะ? ในเมื่อเราไม่ได้เล่นซ่อนหากันสักหน่อย...เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่เธอจะเป็นมนุษย์อย่างเราๆ

ขนาดผ่านมาหลายวันแล้วหนูยังจำหน้าเธอได้ติดหูติดตา นึกเห็นหน้าเธอทีไรเป็นต้องขนลุกซู่ทุกที

พอเอามาเล่าให้ที่บ้านฟังนะคะ ใครๆ ก็บอกให้ซื้อลอตเตอรี่ คุณแม่ซื้อมาเลขอะไรหนูก็จำไม่ได้แล้ว แต่ถูกเลขท้ายสองตัวตั้งสองใบแน่ะ คุณแม่เล่าให้คุณป้าฟัง แล้วก็ดีใจกันใหญ่

ถึงหนูจะไม่กลัว แต่ถ้าไปค้างบ้านคุณป้าที่อยุธยาอีกหนูก็รู้สึกหวาดๆ เหมือนกันนะคะ ระแวงว่าจะได้เห็นพี่คนสวยในดงกล้วยอีก เพราะหนูคิดว่าไม่เห็นจะดีที่สุดค่ะ!

คาถาไล่ผี

คาถาไล่ผี

"มะปราง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยเปลี่ยวใจ

ดิฉันอยู่ในซอยหน้าสถานีรถไฟสามเสน ซอยนี้ไปออกถนนนครไชยศรีก็ได้ หรือจะทะลุหมู่บ้านที่เรียกว่าซอยฟักไข่ไปออกถนนพระรามห้าก็ได้ค่ะ

สมัยก่อนซอยนี้เปลี่ยวมากทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะบ้านที่ปลูกติดๆ กันล้วนมีรั้วรอบขอบชิดทั้งหมด ตอนบ่ายๆ มักมีคนโดนจี้ โดนคนร้ายดักอยู่ตามหัวมุมบ้าง บึ่งมอเตอร์ไซค์มาใช้จี้ด้วยปืน ขนาดตำรวจ สน.ดุสิตยังเรียกว่า "ซอยเปลี่ยวใจ" เลยค่ะ!

ยิ่งตอนค่ำคืนชาวบ้านล้วนแต่กลัวทั้งคนและผี ไม่มีใครอยากเดินผ่าน ยกเว้นแต่พวกผู้ชายที่มากันเป็นกลุ่ม พอเข้าซอยไม่ไกลก็มีทางแยกด้านซ้าย ก้นซอยเป็นทางแคบๆ ซอยต่อมามีทางแยกซ้ายขวาที่อ้อมไปทะลุถึงกัน ต่อมามีคอนโดฯ ผุดขึ้นมาทำให้ผู้คนคึกคักหนาตากว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าเปลี่ยวน่ากลัวอยู่นั่นเอง

จุดสำคัญที่สุดคือ ก่อนถึงทางแยกทั้งซ้ายและขวา จะมีที่รกร้างอยู่ซ้ายมือ คนมักง่ายเอาขยะไปทิ้งประจำ หลายๆ ปีเข้าก็กลายเป็นกองขยะสูงท่วมหัวท่วมหูเป็นภูเขาเลากาเลย

ต่อมา เจ้าของที่เอารั้วลวดหนามไปกั้นไว้ริมทาง กทม.ก็มาช่วยโกยขยะไปบ้าง แต่คนมักง่ายก็อาศัยทีเผลอโยนขยะเข้าไปจนกองพะเนินเทินทึกตามเดิม

ชาวบ้านลือกันว่า ที่นั่นแหละผีดุนักหนา!

บางคนว่าเป็นผีเจ้าที่ แต่บางคนก็ว่ามีผู้หญิงโดนฆ่าหมกศพไว้ที่นั่นหลายปีแล้ว

ที่ว่าผีดุก็เพราะมีคนเห็นหลายรายน่ะซีคะ บางทีขับรถกลับบ้านตอนกลางคืนก็เห็นผู้หญิงโผล่ออกมาจากกองขยะครึ่งตัว บางคนก็เห็นยืนจังก้าอยู่บนกองขยะ ผมยาวสยายประบ่า แทบจะสติแตกไปตามๆ กัน

คุณลุงในซอยเคยออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้ามืด วันหนึ่งเกิดเห็นใครวิ่งจ๊อกกิ้งสวนทางมา ตอนแรกก็ดีใจว่ามีเพื่อนออกกำลังตอนเช้า แต่พอใกล้เข้ามาจนมองเห็นถนัด คุณลุงก็แทบจะช็อกตายคาที่อยู่ตรงนั้นเอง...นักวิ่งที่ใกล้เข้ามาน่ะ ไม่มีหัวหรอกค่ะ!

พอหันกลับได้ คุณลุงก็เปลี่ยนจากนักจ๊อกกิ้งเป็นนักวิ่งลมกรด รวดเดียวไปถึงบ้าน หอบฮั่กๆ เจียนตาย สบถสาบานว่าจะเลิกเป็นนักจ๊อกกิ้งไปจนชั่วชีวิตสลาย

มีคนค้านว่าอาจจะตาฝาดไปเอง เห็นกองขยะหรือเสาไฟฟ้าเป็นภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เมามายก็ต้องประสาทหลอนแน่ๆ ผีสางที่ไหนไม่มีหรอก! แต่เมื่อมีคนโดนหลอกหลอนหลายรายติดๆ กันเข้า กับมีคนท้าให้ไปเดินดูของจริงตอนดึกๆ คนที่ค้านก็เงียบเสียงไปเลย

บรรยากาศบริเวณนั้นก็วังเวงน่ากลัวจริงๆ ด้วย!

บ้านข้างๆ กับฝั่งตรงข้ามมีรั้วแน่นหนา แถมปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ พวกมะม่วงมะขามร่มครึ้มกันทุกบ้าน ลมพัดทีก็สะบัดใบซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้คนสะบัดร้อนสะบัดหนาว ใจคอเต้นตึกตักด้วยความหวั่นระแวง ส่วนมากตกค่ำก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านแบบตัวใครตัวมันทั้งนั้น

คืนหนึ่ง ดิฉันกับป้าต้อยก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ!

สาเหตุมาจากเราไปเยี่ยมญาติที่เปาโล สะพาน ควาย ผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดานี่เองอาการไม่หนักหนาอะไร เราพบกับญาติมิตรหลายคนที่นั่น ส่วนมากรู้จักมักจี่กันทั้งนั้น เลยติดลมคุยกันสนุกสนานจนถึงสามทุ่มเศษถึงได้แยกย้ายกันกลับ

ไม่ใช่เราประมาทนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลเพื่อความสะดวก บ้านดิฉันอยู่ถัดจากกองขยะผีสิง เลี้ยวขวาไปราวสามสิบกว่าเมตรก็ถึงบ้านแล้ว

แหม! ถ้าไม่หันไปมองกองขยะตอนรถแล่นผ่านก็ไม่ต้องกลัวผีหลอกดอกค่ะ!

เชื่อไหมคะว่าผ่านซอยแรกไปแล้ว กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปถึงจุดหมาย แท็กซี่ก็เกิดเครื่อง ดับดื้อๆ ตอนแรกดิฉันกับป้าต้อยกุมมือกันแน่น คิดว่าโดนคนร้ายในคราบแท็กซี่เล่นงานแน่ๆ เพราะคนขับเป็นหนุ่มฉกรรจ์ร่างใหญ่ หน้าเหี้ยม นั่งเงียบมาตลอดทาง

เขาลองสตาร์ตเครื่องอีก 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่ติด ลงไปเปิดฝากระโปรงดูสักพักก็ส่ายหน้ามาขอโทษขอโพยบอกว่าไม่รู้รถเป็นอะไร? เขาขับรถได้แต่แก้รถไม่เป็น ต้องโทรศัพท์ไปตามช่างหรือรถลากไปที่ปั๊มน้ำมัน

เราโล่งอกตอนแรก แต่แล้วก็เสียวใจวูบเมื่อนึกถึงกองขยะผีสิง!

ป้าต้อยจ่ายเงินให้ เขายกมือไหว้ขอบคุณ... พอเลี้ยวซ้ายก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งเงียบกริบ อากาศเยือกเย็นจนขนลุก ว่าจะไม่มองไปทางกองขยะก็อดไม่ได้...แล้วก็ได้เห็นภาพนั้น

คุณพระช่วย! ร่างในชุดดำนั่งกอดเข่าอยู่ริมทางด้านซ้ายมือนั่นเอง...ดิฉันกลัวจนแทบร้อง ไห้ แต่ป้าต้อยปลอบให้ใจเย็น ป้ามีคาถาไล่ผี...ว่าแล้วก็เปล่งเสียงออกไปดังๆ ว่า

"ชาติหน้าฉันใดขออย่าได้เกิดมาพบพระพบเณร อย่าได้เกิดมาเห็นน้ำเห็นฟ้า เห็นดินเห็นทรายอีกเลย...เพี้ยง!"

ขาดคำ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน หน้าดำเมี่ยม ผมยาวสยาย มีเสียงคล้ายกรีดร้องโหยหวนก่อนจะหายวับไป...เรารีบจ้ำรวดเดียวถึงบ้าน แทบเป็นลมเลยค่ะ!

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

เผยภาพวิญญาณเด็กในอังกฤษ

เผยภาพวิญญาณเด็กในอังกฤษ


แม่เมืองผู้ดีอึ้ง ถ่ายติดภาพวิญญาณเพื่อนลูกยืนอยู่ข้าง ๆ ลูกตัวเอง ยันไม่มีการตัดต่อแต่อย่างใด

เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์เมโทร ของอังกฤษ เปิดเผยภาพสุดอึ้ง เงาเด็กคล้ายวิญญาณปรากฏในภาพถ่ายเดี่ยวของเด็กชายวัย 5 ขวบ สร้างความตกตะลึงแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

โดยภาพถ่ายดังกล่าว เป็นภาพที่ซาราห์ สมิธ วัย 52 ปี ใช้มือถือถ่ายในบ้านของเธอที่เมืองเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนนั้นเธอตั้งใจจะถ่ายภาพเดี่ยวให้กับ ไซรัส วอลช์ ลูกชายวัย 5 ขวบ แต่เมื่อกลับมาดูภาพที่เธอถ่ายไว้อีกครั้ง ก็พบว่ามีรัศมีสองดวงขึ้นในภาพ ทำให้เธอลบออกแล้วถ่ายใหม่อีกครั้ง และคราวนี้ก็ทำให้เธอถึงกับตกตะลึง เมื่อบริเวณที่เคยมีรัศมีสองดวงก่อนหน้านี้นั้น ปรากฏเป็นเงาของเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ลูกชายเธอขึ้นมาแทนที่ โดยมีลักษณะโปร่งแสงคล้ายวิญญาณ

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว จูเลีย สมิธ แม่ของซาราห์ สมิธ ได้กล่าวว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ถูกถ่ายขึ้นจริง ไม่มีการตัดต่อแต่อย่างใด เพราะคนในบ้านของเธอไม่มีใครมีความสามารถทางเทคโนโลยีเลยสักคน และเธอเองก็ไม่ค่อยแปลกใจกับภาพดังกล่าวมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ มีเพื่อนของเธอเคยบอกว่า บ้านของเธอมีวิญญาณเด็กอาศัยอยู่ และเป็นวิญญาณเด็กหญิงอายุน้อยที่เล่นกับหลานของเธอมานานแล้ว ซึ่งเธอก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้ ตอนที่หลานของเธอเพิ่งเกิด ก็มีปรากฏการณ์สุดอึ้งเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น ขณะที่หลานของเธอนอนอยู่ในเปล จู่ ๆ เปลก็เกิดแกว่งเองโดยไม่มีใครไปไกวเลยสักคนเดียว

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/57784

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดูรายการรายการ คนอวดผี วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554

















นอกจากจะนำเสนอเรื่องราวผีๆ แล้ว “ รายการคนอวดผี ” ยังมีเรื่องเครื่องรางของขลังป้องกันผีมาฝากกันอีกด้วย!!! ใครที่กลัวผีจนขึ้นสมอง หรือ นิยมเครื่องรางของขลังพุธที่ 9 ก.พ. นี้ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะแขกรับเชิญมีดีกรีเป็นถึง สุดยอดแฟนพันธ์แท้พระเครื่องชื่อดัง “ ป๋อง สุพรรณ ” ได้อัญเชิญสิ่งศักดิสิทธิ์ เครื่องรางกันภูติผีปีศาจ มาให้ชมกันถึงที่ ไม่ว่าจะเป็น “ ตะกรุด ” ที่ทำจากตะปูโลงผี, “ ใบหนาด ” ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นพืชที่ผีกลัว, “ มีดหมอ ” ใช้ขับไล่วิญญาณ, “ วัวธนู ” ของขลังเฝ้าบ้านเรือน ป้องกันเพศภัย หรือแม้แต่พระรูปองค์ “ ท้าวเวสสุวรรณ ” ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปกป้องผู้บูชาจากวิญญาณชั่วร้าย ซึ่งเครื่องรางของขลังทั้งหมดที่นำมาให้ชมนั้น ล้วนผ่านการปลุกเสก ลงอาคม โดยเกจิอาจารย์ชื่อดัง นอกจากนั้น คุณป๋อง ยังอธิบายถึงที่มาและสรรพคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละชิ้นไว้ให้แฟนๆรายการได้ไปสรรหามาบูชาให้อุ่นใจ ทำเอา 3 พิธีกร กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์, ตั๊ก บริบูรณ์, ป๋อง กพล ทองพลับ และ “ กระแต ศุภักษร ” พิธีกรรับเชิญ ออกอาการสนใจกันสุดๆ กับเครื่องรางของขลังที่คุณป๋องได้อัญเชิญมา แต่ละอย่าง ขอบอกเลยว่า หาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว


สำหรับช่วง “ล่าท้าผี” พบกับ “รัน นพวรรณ” จับมือ “หนูจ๋า อชิรญาณ์” บุกล่าท้าผีที่ “ศาลริมน้ำ” แต่ขณะปฏิบัติภารกิจก็เจอของดีเข้าจนได้ งานนี้บอกเลยว่า “เห็นจริงอะไรจริง และ เฮี้ยนจริง” แต่จะเห็นอะไรนั้นต้องติดตามชมกันเอง งานนี้ ขนลุกกันถ้วนหน้า ส่วนช่วง “บรรเทาทุกข์ผี” ก็แรงไม่แพ้กันเป็นเรื่องของ “หญิงที่โดนผีบีบคอขณะหลับ ตื่นขึ้นมามีรอยฟกช้ำทั้งตัวเป็นเวลาหลายปี” แค่คิดก็สยองแล้ว !

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

ภาพถ่ายติดวิญญาณ

ผงะ! ภาพถ่ายติดวิญญาณหญิงชรา



สองดีเจถึงกับผงะ หลังถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พบมีหญิงชรานิรนามปรากฎอยู่บนภาพ ด้านเจ้าของภาพยืนยันช่วงที่ถ่ายภาพไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น

ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่ามีเจ้าหน้าที่อบต.ละงู อ.ละงูจ.สตูล ถ่ายภาพติดหญิงชรานิรนามในงานเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวตำบลละงู ประจำปี 2554 ณ สวนสาธารณะหนองปันหยา ระหว่างวันที่ 7-10 ม.ค. ที่ผ่านมา

โดยในคืนวันที่ 10 ม.ค. 54 ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายที่มีการประกวดมิสลากู 2011 ปรากฎว่า ในระหว่างถ่ายภาพคู่ระหว่างน.ส.จิรารัตน์ หวันดาหลา หรือ ดีเจหรา กับ นายสมชาย เร๊ะหมีน ดีเจตะวัน แห่งคลื่นเลิฟเรดิโอ 99.24 MHz เมื่อกลับมาลงภาพในคอมพิวเตอร์ปรากฎว่าพบมีภาพหญิงชราปรากฏขึ้นในภาพทั้งๆที่ช่วงถ่ายภาพไม่มีใครในบริเวณนั้นเลย สร้างความตกใจและหวาดกลัวให้กับผู้ถ่ายภาพและเจ้าของภาพ เมื่อถามใครก็ไม่มีใครรู้จักกับหญิงชราในภาพ

ด้านน.ส.จิรารัตน์ กล่าวว่า ให้น.ส.รองรัตน์ บารา ถ่ายภาพตนคู่กับดีเจตะวัน บริเวณด้านข้างเวที ตรงที่พักผู้เข้าประกวดนางงาม พอตอนเช้านำภาพมาลงในคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่าในภาพมีภาพใบหน้าหญิงชราเกิดขึ้นในภาพทำให้ตนและน้องถึงกับตกใจ เพราะตอนที่ถ่ายไม่มีใครอยู่ตรงบริเวณนั้น ในขณะอีกภาพที่ถ่ายบริเวณเดียวกันแต่คนละมุมเพื่อหลบแสงไฟจากด้านหลัง ก็ไม่มีภาพผู้หญิงชราดังกล่าว

ต่อมามีคนมาทำพิธีเข้าทรงบริเวณหนองน้ำปันหยาสถานที่จัดงาน จึงทราบว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่บริเวณนั้นเมื่อหลายร้อยปี หรือเป็นโต๊ะทวดที่ปกปักรักษาหนองน้ำมาดูลูกหลานจัดกิจกรรมเท่านั้น

ที่มา
http://news.sanook.com/995878-ผงะ-ภาพถ่ายติดวิญญาณหญิงชรา.html

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

คุยกับผีตัวที่ ๑๘ แปดนาคบาล ,แปดนางฟ้าสรงสนาน กับ ๑ ยอดพระอรหันต์แห่งยุค

คุยกับผีตัวที่ ๑๘ แปดนาคบาล ,แปดนางฟ้าสรงสนาน กับ ๑ ยอดพระอรหันต์แห่งยุค


ขอเริ่มด้วยคำว่า

“สวัสดีปีใหม่ปี ๒๕๕๔”

กับท่านผู้อ่านและชาวพลังจิตทุกท่าน

สำหรับเรื่องเล่าต่อไปนี้ก็เป็นประสบการณ์ทางจิตอีกครั้งที่เกิดขึ้นกับผู้เขียน ต้องยอมรับว่าสมัยหนึ่งนั้น ผู้เขียนเองก็มีความมุ่งหวังแสวงหาผู้รู้และทางพ้นทุกข์ แต่ต่างกับคนส่วนใหญ่ที่มักจะไปพบไปหาครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงและเฝ้าสวดอ้อนวอนขอให้ตัวเองพ้นทุกข์แต่พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตกลับตรงกันข้ามกับทางพ้นทุกข์

คนส่วนใหญ่มักพูดคำเดียวกันว่า อยากนิพพาน เพราะเบื่อโน่นเบื่อนี่เบื่อนั่น ไม่ชอบไอ้นี่ไอ้ อยากนิพพาน อยากเป็นพระอรหันต์ และต้องเอาในชาตินี้ให้ได้ด้วยใครพูดขัดอะไรก็เคืองและหาว่าไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ

แต่ในขณะที่อยากเป็นพระอรหันต์ก็อยากรวย อยากเป็นเศรษฐี อยากมีชื่อเสียง อยากสวย อยากหล่อ อยากต่างๆนาๆไปด้วย แล้วมันจะเป็นได้อย่างไรมันคนละทางกัน

ที่พูดมานี่ก็ประกอบไปด้วยตัณหา ๓ เต็มๆ โดยไม่รู้ตัว ก็ตัณหา ๓ ประกอบไปด้วยอะไร

ก็ประกอบไปด้วย

๑.กามตัณหา ความปรารถนาในกามคุณ ๕ อยากสวยอยากหล่อชอบคนสวยชอบคนหล่อชอบเพศตรงข้าม อยากมีเนื้อคู่ อยากเจอเนื้อคู่ อยากมีคนรัก อยากมีกิ๊ก อันเป็นต้นเหตุแห่งอารมณ์รักๆใคร่ๆ ต้องการความสุขอันเกิดมาจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ใคร่ ทั้งหลาย แต่อยากเป็นพระอรหันต์แต่หยุดให้ตัวเองไม่สวยไม่หล่อไม่ได้ ต้องตกแต่งเครื่องประดับประดาเพื่อความสวยความหล่อกันใหญ่ สร้อย แหวน นาฬิกา ซึ่งเหล่านี้ยิ่งเป็นไปตามฐานะด้วยยิ่งรวยยิ่งประดับมาก และมักมีจิตคิดว่าของข้าดีและมีราคากว่าคนอื่น

ขณะไปพบครูบาอาจารย์ก็แสดงความอยากเป็นพระอรหันต์กันเต็มที่ แต่ก็ยังไม่เลิกที่จะห่วงสวยห่วงหล่อกัน ไม่เลิกห่วง หวงทรัพย์สมบัติกันเลยแม้แต่น้อย แล้วจะไปได้ยังไง นี่แหละกามตัณหา

๒.ภวตัณหา ความอยากที่ไม่จบไม่สิ้น อยากรวย อยากเป็นเศรษฐี อยากมีรถป้ายแดง อยากมีโทรศัพท์มือถือที่ทันสมัย อยากได้ BB อยากได้คอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คและต้องเอาที่ดีที่สุด ต้องเป็นหนี้ต้องผ่อนก็ต้องเอาให้ได้ เพื่อความมีหน้ามีตา อยากมีบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ๆ อยากมีคอนโดหรูๆ อยากโน่นอยากนี่อยากนั่น อยากไปหมด ไปหาครูบาอาจารย์พูดคุยเรื่องอยากเป็นพระอรหันต์ฟุ้งแต่ในมือถือโทรศัพท์ที่มีราคาแพงกันไม่ยอมปล่อย ไม่กล้าวางไว้ที่ไหนเลยกลัวหาย บางคนต้องขับรถหรูที่สุดไปเพื่ออวดว่าข้านี่รวย และที่สำคัญคือที่ไปหาครูบาอาจารย์โดยเฉพาะที่มีชื่อเสียงก็เพราะ อยากได้บุญเยอะๆจะได้รวยๆ มันใช่ที่ไหน นี่เรียกว่า ภวตัณหาทั้งนั้น

๓.วิภวตัณหา ความไม่อยากแบบไม่จบไม่สิ้น ไม่อยากจน ไม่อยากให้คนอื่นดูถูก ไม่อยากแพ้ ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่อยากเป็นลูกจ้าง ไม่อยากมีแฟนไม่ดี ไม่อยากใช้รถเก่า ไม่อยากใช้มือถือเก่าตกรุ่น ไม่อยากอยู่บ้านเก่าๆๆ ไม่ชอบคนโน้น ไม่ชอบคนนั้น ไม่ชอบนักการเมืองนั่น ไม่ชอบอาจารย์นั่นอาจารย์นี่ ไม่อยากเจอคนนั้นคนนี้ ไม่อยากกินนั่นไม่อยากกินนี่ ไม่อยากมีภรรยาสามีอย่างนั้นอย่างนี้ และไม่อยากอีกมากมาย ก็เป็นวิภวตัณหาทั้งนั้น ก็เลยหลงทางกันไปหมด ระวังกันให้ดีนะพวกที่อยากนิพพานอยากเป็นพระอรหันต์ ได้แต่อยากแต่ไม่ประพฤติปฏิบัติไปให้ถูกตรงตามทางสายกลางแห่ง มรรคอันมีองค์อยู่ ๘ ประการเท่านั้น อันประกอบด้วย สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จึงจะไปได้ ไปด้วยทางอื่น ไปไม่ได้นะ ไม่ลดไม่ละไม่เลิกเสีย ก็อาจจะต้องไปอยู่บนพานให้นายนิริยะบาลทั้งหลายเชือดนะจะหาว่าไม่เตือน

ฉะนั้นถ้าอยากเป็นพระอรหันต์ต้องเดินทางนี้ทางเดียว ไม่ใช่ทางสะสมอะไรทั้งสิ้น พระอรหันต์หรือผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อที่สุดคือพระอรหันต์ ท่านไม่ได้คิดสะสมอะไรแล้ว เมื่อท่านเหล่านั้นไม่สะสม ท่านจึงไม่เหลืออะไรท่านจึงหมดสิ้นทุกอย่าง ไม่เหลืออะไรให้ต้องห่วงใยกันอีก มันก็หมดก็จบก็เท่านั้น ที่ยังไม่หมดก็คือร่างกายที่ยังไม่สิ้นอายุไขต้องรอไปตามเวลาก็เท่านั้น เมื่อยังต้องอยู่ก็แค่ทำที่เหลืออยู่ให้มีสาระต่อเพื่อนร่วม โลกก็เท่านั้น เท่านี้เอง เริ่มมาก็เกริ่นเรื่องพระอรหันต์มาซะยาว กลับมาเข้าเรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังเรื่องต่อไปกันเลยดีกว่า.

ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ ๖-๗ ปีที่แล้ว ผู้เขียนได้มีโอกาสเรียกว่าตั้งใจหาโอกาสไปเลยก็ว่าได้ ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่นักเป็นวัดที่มีเจดีย์บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ที่มีชื่อเสียงมากแห่งยุคองค์หนึ่ง ถ้าเอ่ยชื่อพระอรหันต์รูปนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักอย่างแน่นอน แต่ผู้เขียนจะไม่เอ่ยชื่อพระอรหันต์รูปนั้นก็แล้วกัน เป็นอันว่าผู้เขียนตั้งใจไปที่วัดแห่งนั้นตามความตั้งใจของตัวเอง เพื่อไปกราบพระธาตุของพระอรหันต์รูปนั้น เมื่อผู้เขียนไปถึง ก็ได้เข้าไปในเจดีย์ด้านใน ที่ทางวัดได้สร้างไว้ให้ สาธุชนได้เข้าไปกราบไหว้พระธาตุที่บรรจุอยู่ด้านบนยอดเจดีย์ ส่วนที่เป็นโถงด้านล่างที่เปิดให้เข้าไป เป็นรูปหล่อรูปเหมือนของพระอรหันต์รูปนั้น ให้ได้กราบไหว้เป็นสิริมงคลกัน และยังใช้บริเวณโถงที่กล่าวมานั้นเป็นที่สำหรับทำวัตร ของพระและผู้มาปฏิบัติธรรมกันด้วย เป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมด ภายในโถงจึงไม่ร้อน ไม่อึดอัด กลับเย็นสบาย ประตูหน้าต่างรอบทิศ

เอาเป็นว่าผู้เขียนชอบเพราะเป็นที่ที่เหมาะแก่การเจริญพระกรรมฐานอีกที่หนึ่ง และได้อยู่ใกล้กับพระอัฐิธาตุของพระอรหันต์ด้วย ยิ่งทำให้รู้สึกถึงพลังแห่งความดีงามอยู่รายรอบบริเวณนั้น

หลังจากที่ผู้เขียนได้กราบพระสวดมนต์ และทำประทักษิณเดินเวียนขวารอบเจดีย์ด้านในจนครบ ๙ รอบ เพื่อระลึกถึงคุณ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็ได้หามุมสงบ เพื่อนั่งทำสมาธิต่อตั้งใจว่าจะทำอยู่ประมาณ

สักครึ่งชั่วโมง และตั้งใจว่าการเข้าสมาธิในครั้งนี้จะขอพบพระอรหันต์รูปนี้ให้ได้เพื่อจะขอถามข้อธรรมที่ท่านใช้จนท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพื่อเป็นแนวทาง แก่ผู้เขียนที่ตั้งใจแสวงหาหนทางนั้นเหมือนกัน

ผู้เขียนเข้าสมาธิ พร้อมกับความปรารถนาที่จะพบกับพระอรหันต์รูปดังกล่าว เมื่อจิตของผู้เขียนสู่สภาวะแห่งฌาน สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ ภาพแห่งพระสถูปเจดีย์ที่มีลักษณะคล้ายกันกับเจดีย์ที่ ผู้เขียนนั่งกรรมฐานอยู่ แต่ต่างกันตรงที่วิจิตรพิสดารมากกว่าหลายเท่านัก แต่นั่นยังไม่สร้างความประหลาดใจให้ผู้เขียนเท่ากับที่ตอนนี้ตรงหน้าของผู้เขียน ปรากฏภาพแห่งพญานาคราชที่มีขนาดมหึมา กำลังแยกเขี้ยวทั้ง ๔ ด้วยหมายใจจะขู่หรือจะประหารผู้เขียนให้ตายไปในคราวนนั้นที่บังอาจบุกรุกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่พำนักแห่งองค์พระอรหันต์ ซึ่งถ้าจะบรรยายขนาดให้ท่านผู้อ่านได้เห็นก็พิจารณาเอาก็แล้วกันว่าพญานาคราชนั้นตัวใหญ่เพียงใด โดยลำพังเฉพาะแค่เพียงเขี้ยวทั้ง ๔ ที่ มุมปาก ที่พญานาคราชนั้นอ้าออกหมายจะฉกขย้ำผู้เขียนให้จมเขี้ยวนั้น มีความยาวเขี้ยวที่สูงกว่าผู้เขียนประมาณ ๒ เท่า ผู้เขียนสูง ๑๘๐ เซนติเมตร ท่านผู้อ่านคิดเอาเองเถอะว่าเขี้ยวนั้นยาวเท่าไหร่ แล้วลองประมาณขนาดของหัวและลำตัวของพญานาคราชนี้กันเอาเองเถิด เรียกว่าทำเอาผู้เขียนสะท้านไปเหมือนกัน

แต่ด้วยจิตที่ฝึกมาดีพอสมควรที่ไม่เคยหวาดหวั่นต่อความตาย ความมีศรัทธาในศีล สมาธิ ปัญญา ที่ตนเองได้สั่งสมอบรมมา จึงทำให้ผู้เขียนไม่มีความหวาดกลัวเลย พญานาคราชนั้นหาได้เพียงแค่แยกเขี้ยวยิงฟันแต่อย่างเดียวก็ไม่ใช่ ยังคำรามแผดเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

ลมพายุโหมกระหน่ำใส่ผู้เขียนปานว่าจะให้ลอยกระเด็นไปไกลๆ แต่ลมนั้นก็ไม่อาจพัดพาหรือทำให้ร่างกายผู้เขียนขยับแม้แต่น้อย ยังคงนั่นนิ่งดูฤทธานุภาพแห่งพญานาคราชนั้นสำแดงออกมา ทั้งสะบัดหัวหางไปมาให้ดูน่ากลัว ผู้เขียนก็ไม่สะทกสะท้าน ต่ออาการแห่งนาคนั้น

เมื่อพญานาคนั้นเริ่มรู้สึกว่าไม่สามารถจะทำให้ผู้เขียนหวาดกลัวได้ จึงแผดเสียงแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าจงกลับไปเสีย ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกกายหยาบ สกปรก เหม็นสาบ ที่นี่เป็นแดนทิพย์อันหมดจด พวกมนุษย์มีใจบาปหยาบช้า จงกลับออกไป”

ผู้เขียนยังคงนิ่ง พญานาคราชนั้นพูดต่อว่า “ถ้าไม่เชื่อจะกัดให้จมเขี้ยวตายไปเลย” พูดพร้อมกับเงื้อเขี้ยวขึ้นด้วยอาการอ้าปากกว้างที่สุด ด้วยหมายใจว่าจะฝังลงที่ร่างของผู้เขียนจนสุดเขี้ยวหวังให้ผู้เขียนตายด้วยเขี้ยวอันใหญ่โตและแหลมคมนั้น

ผู้เขียนก็ยังคงนิ่ง “พูดไม่รู้เรื่องหรือไง เจ้ามนุษย์เหม็นสาบ ไม่กลัวตายหรือ” ผู้เขียนจึงถามกลับไปว่า “ท่านพญานาคราชผู้เป็นใหญ่ ที่ท่านจะประหารเราให้ตายไปนี้ เพราะอะไร เพราะที่เราเป็นมนุษย์เท่านั้นเองหรือ” พญานาคราชนั้นไม่ตอบกลับขู่และคำรามหนักขึ้น

เมื่อผู้เขียนถามออกไป ส่วนผู้เขียนก็ถามต่อไปว่า “ที่ท่านว่ามนุษย์มีกายหยาบตัวเหม็นสาบ สกปรกนั้น ท่านก็คงใช้แต่ตาเนื้อของท่านมองละสิ มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนมีกายทิพย์หรือกายละเอียด ที่ชาวเราเรียกว่าจิตด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็อีกนั่นแหละไม่เพียงแต่กายหยาบที่สกปรก กายทิพย์ของมนุษย์บางพวกที่ประกอบตัวมัวเมาอยู่ในความชั่วก็อาจจะสกปรกและเหม็นสาบเหมือนกัน แต่ในมนุษย์บางพวกแม้จะมีกายหยาบที่สกปรก เหม็นสาบจากเหงื่อไคล แต่กายละเอียดหรือกายทิพย์ กลับสะอาดสะอ้านและมีกลิ่นหอม มีรัศมีอันงดงาม กว่าเหล่าทวยเทพเทวา ที่มีแต่กายละเอียดแต่ยังประพฤติชั่วช้า บางพวกด้วยซ้ำ ท่านว่ามั้ย เพราะมนุษย์ที่มีกายละเอียดที่หอม และงดงามกว่าทวยเทพเหล่านั้น ได้อาศัยน้ำคือพระธรรม อันเกิดแด่องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ชำระสิ่งสกปรกที่หมักหมมอยู่ภายในจิตใจ ค่อยๆลดค่อยๆละค่อยๆคลาย กำหนัดความชั่วทั้งหลายลงตามลำดับ จนมนุษย์บางพวกเหล่านั้น บังเกิด อิทธิปาฏิหาริย์ ตลอดจนอภิญญาทั้งหลาย ก็ต้องอาศัยกายละเอียดหรือกายทิพย์หรือจิตที่สะอาดนี้ จึงจะบังเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นได้

นั่นหมายความว่า กายละเอียดหรือกายทิพย์หรือจิตของพวกเขาย่อมมีความสะอาดกันอย่างแน่นอน แต่จะสะอาดกันแค่ไหนนั้นก็สุดแท้แต่ความเพียรแต่ละคนไป และท่านพญานาคราชหากท่านเข้าใจอย่างนี้แล้วท่านลองดูเถิด ลองใช้ตาในของท่านเพ่งพิจารณา ให้เห็นเข้าไปในกายละเอียดของเราดูเถิดว่าสกปรกเหม็นสาบอย่างที่ท่านคิดหรือไม่”

ผู้เขียนท้าให้พญานาคราชนั้นพิสูจน์ดู และพูดต่อไปว่า “ถ้าท่าเห็นความสกปรก ในจิตของเราแล้วไซร้ เราจะยอมกลับไป” แล้วผู้เขียนก็ยังจิตให้บริสุทธิ์ เพื่อให้พญานาคราชนั้นเห็นกายทิพย์อันละเอียดด้วยกำลังสมาธิ พญานาคราชนั้นเมื่อได้ยินและได้เห็นความจริงดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ท่านผู้มีกายทิพย์ ท่านสะอาดตามที่ท่านพูด เราต้องขอโทษท่านด้วย แต่เราก็ยังให้ท่านเข้าไปไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่เราที่จะไม่ยอมให้ใครก็ตามเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต” “ให้เข้ามาเถิด พญานาคราช จิตเขาสะอาดพอที่จะเข้าแดนนี้ได้ เมื่อเขาอยากจะพบเรา ก็ให้เขาเข้ามา เราอนุญาต” เสียงที่ดังขึ้นมาบอกให้ผู้เขียนเข้าไปได้นั้น เป็นเสียงทรงพลัง และเป็นเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่าผู้พูดนั้นเป็นผู้มีอายุ และมีน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา

สิ้นเสียงนั้นพญานาคราชก็ถอยไปยังที่ที่ตนมา นั่นคือหน้าประตูทางเข้าซึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากผู้เขียนเท่าไหร่ และยังปรากฏพญานาคราช ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าทวารบาลทั้งสิ้น ๘ ตน ซึ่งทั้ง ๘ ตนนั้นได้เนรมิตกายเป็นพญานาคราชที่มีรูปร่างใหญ่โต เหมือนตนแรกทั้งสิ้นแสดงความน่าเกรงขามแห่งนาคบาลที่ยากที่จะมีใครบุกรุกผ่านเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ง่ายๆ คงต้องรบกันจนตายไปข้างหนึ่ง

เมื่อพญานาคราชถอยไปก่อนที่ผู้เขียนจะก้าวเท้าล่วงเข้าไปในแดนนั้นก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณและกล่าวชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถของพญานาคราชทั้ง ๘ ด้วยความจริงใจ นาคราชทั้ง ๘ น้อมเศียร ลงให้เป็นนัยว่ายอมรับเช่นกัน แล้วผู้เขียนก็เข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น ทางเข้าไปก็เป็นประตูใหญ่ แต่ข้างหน้ากลับไม่มีทางเดินแต่กลับเป็นสระบัวขนาดใหญ่ ที่มีน้ำใส ดูแล้วเย็นสบาย เห็นฝูงปลาแหวกว่าย ดอกบัวทิพย์เรียงรายงดงามรายรอบสระน้ำนั้น ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเพลิดเพลินกับการชมความงามร่มรื่นของสระบัวในแดนทิพย์อยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงของสตรีดังขึ้น นางพูดว่า “ดูกร ท่านผู้มีกายหยาบ แดนนี้เป็นแดนกายทิพย์ หากท่านจะเข้าไปท่านจำต้องชำระล้างกายหยาบแห่งความเป็นมนุษย์ ของท่านเสียก่อน ท่านจึงจะเข้าไปได้”

“เราต้องทำอย่างไรหรือ” ผู้เขียนถามตามเสียงนั่นโดยยังไม่ได้เห็นเจ้าของเสียง “พวกเราจะเป็นผู้ชำระและทำความสะอาดท่านเอง” ก็ปรากฏภาพแห่งนางสวรรค์ ๘ ตน ในชุดผ้าแพรบาง โปร่ง จนมองเห็นทรวดทรงองค์เอวทั่วเรือนร่างทุกสัดส่วน แต่ละนางงดงามเกินคำบรรยาย สตรีในโลกที่เคยเห็นมากมายที่ว่างดงามอย่างพวกนางงามทั้งหลายเทียบไม่ได้ นางสวรรค์เหล่านั้น ตรงเข้ามาที่ผู้เขียนแล้วถอดเสื้อผ้าที่ผู้เขียนสวมใส่ออกจนหมดไม่เหลืออะไรติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วก็พาผู้เขียนลงสู่สระบัวที่อยู่ตรงหน้า

น้ำในสระบัวนั้นมีกลิ่นหอมมาก น้ำใสเย็น ในน้ำมีกลีบดอกไม้นานาพันธ์ ลอยอยู่ทั่วประดุจโปรยปรายมาจากฟากฟ้า นางสวรรค์ทั้งแปดทำการขัดถูตามร่างกายทุกสัดทุกส่วนของผู้เขียนอย่างไม่รังเกียจ อาจเป็นด้วยหน้าที่ของนาง ร่างกายของผู้เขียนสัมผัสกระทบกับร่างกายของนางสวรรค์ทั้ง ๘ ร่างกายของพวกนางนั้นนุ่ม ผิวละเอียดและมีกลิ่นหอมทุกนาง

สัมผัสทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับผู้เขียนตอนนี้นั้นเป็นสิ่งที่เกินคำบรรยาย และผู้เขียนไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะได้มาเจอแบบนี้เลย แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีอาการหรือปฏิกิริยาไปในทางชู้สาวหรือทางกามมารมย์เลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นสัมผัสแห่งการยอมรับความดีงามต่อกันและกันมากกว่า นี่แหละมั้งที่เขาเรียกว่าสัมผัสอันเป็นทิพย์ ของเหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลาย

หลังจากอาบน้ำชำระกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางสวรรค์เหล่านั้นก็พาผู้เขียนขึ้นจากสระน้ำ แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องผู้เขียน ชุดที่นางสวรรค์ได้นำมาสวมใส่ให้ผู้เขียนเป็นชุดทรงเทวดา ที่เทวดา ทั้งหลายสวมใส่กัน จึงถามนางสวรรค์เหล่านั้นไปว่า “นี่นางฟ้า ทำไมท่านจึงให้เราสวมใส่ชุดนี้ นี่มันชุดเทวดานี่” “ใช่แล้วทายผู้มีกายทิพย์ ผู้มีกายทิพย์ย่อมเหมือนเทวดา ย่อมคู่ควรกับชุดเทวดา” นางไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ พูดอีกเพียงว่า “ท่านรอ ณ ที่นี้ก่อน พระอรหันต์ที่ท่านอยากพบ จะออกมาพบท่านอีกสักครู่”

พูดแล้วพวกนางทั้ง ๘ ก็เดินหายจากไป ในขณะที่ผู้เขียนนั่งรอ อยู่นั้นก็ได้พิจารณาดูสิ่งต่างๆรอบตัว ซึ่งดูสงบราบเรียบ แต่มีความงดงามไปเสียทุกอย่าง อากาศเย็นสบาย และรู้สึกถึงความสุขในส่วนลึกของจิตอย่างบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ก็ไม่วายที่จะเก็บความรู้สึกสุขนั้นไว้นานๆ โดยขณะที่รอไม่ได้กังวลเรื่องเวลาเลย ไปเรื่อยๆ ท่านจะมาตอนไหนก็ตอนนั้น แต่ตอนนี้ขอสุขสงบไว้ก่อน ขณะคิดอะไรไปเพลินๆ ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “หลวงปู่มาแล้ว” แล้วปรากฏภาพดอกบัวขนาดใหญ่อยู่บนท้องฟ้า ค่อยๆลอยลงมา ลอยลงมา จนถึงพื้นที่ผู้เขียนยืนอยู่

ดอกบัวมีสีขาวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร มีลักษณะบานออก บนดอกบัวปรากฏรูปของพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ท่าทางสงบเย็นอย่างพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้ผู้เขียน พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจริญพร ท่านผู้มาเยือน” “นมัสการขอรับหลวงปู่” ผู้เขียนรับคำพร้อมก้มลงกราบ “ท่านอุตส่าห์มานะที่จะมาหาเรา มีธุระอะไรหรือ” หลวงปู่ถาม “ก่อนอื่น กระผมต้องขอประทานโทษที่มารบกวนองค์ท่าน แต่กระผมอยากรู้ธรรมบางอย่าง ชนิดที่พระภิกษุธรรมดา หรือแม้แต่พระอริยะที่ยังไม่ได้พระอรหันต์คงไม่สามารถจะให้ผมได้ ผมคิดว่ามีแต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะให้ธรรมนั้นได้ ผมจึงมาหาหลวงปู่”

“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าและมั่นใจได้ไงว่าเราเป็นพระอรหันต์” “จากหลักฐานคือพระอัฐิธาตุ และจากครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ลูกหา และผู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ และที่สำคัญ จากสิ่งที่ประสบพบเจอมาเมื่อสักครู่ และจิตของกระผมที่ได้สัมผัสในเวลานี้” “เอาหล่ะ เข้าใจแล้ว เอาเถอะ มีอะไรสงสัยจะถามก็ถามมา ถ้าเป็นสาระไปสู่ความพ้นทุกข์ หลวงปู่จะบอกให้”


“ไม่ถามอะไรหลวงปู่ให้มากความดอกขอรับ กระผมจะถามคำถามเดียวแค่ว่า หลวงปู่พิจารณาธรรมใด ก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ผมต้องการรู้แค่นี้แหละขอรับ” ผู้เขียนถามคำถามที่อยากรู้ หลวงปู่ท่านยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ดี สั้นและห้วนแต่ได้สาระดี ผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ไม่ถามมาก แต่ปฏิบัติมากกว่า เพราะถามมากยังไงก็ไม่เห็นถ้าไม่ปฏิบัติ แต่ปฏิบัติน้อยหรือมากขอให้ลงมือกระทำก็เห็นได้ ดีแล้วดีแล้ว สำหรับธรรมที่ปู่พิจารณาก่อนที่จะพ้นทุกข์ทั้งปวง เข้าสู่นิพพานอันเป็นยอดแห่งธรรม หลวงปู่พิจารณาว่า กายจิตดับ รูปนามสลาย กลับกลายเป็นธาตุ จำไว้ให้ดี พิจารณาแตกเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจทุกอย่างได้เอง แค่นี้ใช่มั้ยที่ต้องการ” “ใช่ขอรับ กายจิตดับ รูปนามสลายกลับกลายเป็นธาตุ” ผู้เขียนทวนคำแห่งธรรมที่หลวงปู่ให้ไว้ “เราต้องไปแล้ว ขอให้เจ้าเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป เจริญพร”

แล้วดอกบัวที่หลวงปู่นั่งมานั้นก็ค่อยๆลอยกลับขึ้นฟ้าไปและหายไปจากตาผู้เขียน ผู้เขียนได้แต่กราบขอบพระคุณหลวงปู่ท่านพร้อมกับน้ำตาแห่งความปิติที่ท่านทรงเมตตาให้ธรรมอันเป็นเอกเฉพาะของท่าน อย่างเปิดเผยไม่ปิดบังคงเพื่อเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ แล้วผู้เขียนก็กลับมาสู่สภาวะปกติ ที่ที่นั่งสมาธิ อยู่ก่อนหน้า แล้วกำหนดจิตถอนออกจากฌานจากสมาธิ สู่สภาพปกติ แล้วลุกขึ้นก้มลงกราบรูปเหมือนหลวงปู่ ด้วยใจอันเต็มไปด้วยปิติ และอดไม่ได้ที่จะนึกขอบคุณหลวงปู่ ที่เมตตาให้ยอดธรรมประจำองค์ มาให้ใช้ในการพิจารณา เพื่อหาหนทางออกจากทุกข์ของผู้เขียนต่อไป ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับธรรม ที่หลวงปู่ท่านได้ให้ไว้ ที่ “กายจิตดับ รูปนามสลาย กลับกลายเป็นธาตุ” นี้นั้น นับเป็นธรรมที่มีประโยชน์มากอีกธรรม หนึ่งทีเดียว

เมื่อใครสามารถพิจารณาจนแตกได้ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์มาก ลองเอาไปพิจารณากันก็แล้วกัน คิดว่าเป็นของขวัญจากผู้เขียน ก็คงจบเรื่องราวของผีตัวที่ ๑๘ แต่เพียงเท่านี้ เรื่องทั้งหมดที่ผู้เขียน ได้เขียนมาให้อ่านกันตั้งแต่คุยกับผีตัวที่ ๑ วันนี้ตัวที่ ๑๘ แล้ว ผู้เขียนหวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติ ในทางจิต และคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ในท่านผู้สนใจในเรื่องราวเหนือธรรมชาติประเภทจิต วิญญาณ หรือผี ก็คงได้รับประโยชน์บ้างเช่นกัน

ที่มา
http://board.palungjit.com/f12/คุยกับผีตัวที่-๑๘-แปดนาคบาล-แปดนางฟ้าสรงสนาน-กับ-๑-ยอดพระอรหันต์แห่งยุค-274277.html

ช็อก วิญญาณพญานาคโผล่ติดพระธาตุพนม !?

ช็อก วิญญาณพญานาคโผล่ติดพระธาตุพนม !?

ดวงวิญญาณของเทพยดา และมนุษย์ นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ และอมนุษย์ทั้งหลาย ได้ไหลลอยเข้ามา และสิงอยู่ตามอิฐปูน และทุกเม็ดทราย ที่เป็นองค์ธาตุพนม เป็นล้านๆโกฏิๆดวง!!! ด้วยความเคารพนบนอบ และหวงแหนองค์พระธาตุพนม ที่เปรียบเสมือนสายโยงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษชาวพุทธ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน ซึ่งจะหาพระมหาเจดีย์เก่าแก่ ทรงคุณค่าทางจิตใจอย่างนี้ได้ยากอย่างยิ่งในเมืองไทย แม้ในทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ก็เป็นสักขีพยานให้เห็นว่า เมื่อเวลานับพันปีล่วงมาแล้ว ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแถบนี้ ได้เคยรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ในด้านศาสนา ศีลธรรม และประติมากรรมอันยิ่งใหญ่ ที่ทรงคุณค่าทางด้านจิตใจ ยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ องค์พระธาตุพนมซึ่งเป็นมหาเจดีย์ที่สำคัญเช่นนี้ จึงมีปรากฏการณ์ เรื่อง"พญานาคาราชเจ้าทั้ง 7 พระองค์"ได้เสด็จมาพิทักษ์รักษาองค์พระธาตุพนม และแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ต่างก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคกึ่งพุทธกาล หรือ พ.ศ.2500 นี่เอง เพื่อให้ผู้ที่เกิดมาสุดท้ายภายหลังได้รู้จัก และซึมซับกับเหตุการณ์ดังกล่าว จึงขอนำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้น มาทบทวนกันอีกครั้ง ดังนี้.....

ตามตำนานกล่าวว่า องค์พระธาตุพนมนี้ สร้างมานานกว่า 2,500 ปีแล้ว โดยพระมหากัสสปเถระ พุทธสาวกองค์สำคัญ และพระอรหันต์ 500 องค์ ร่วมกับเจ้าพญาทั้ง 5 นคร คือ พญาสุวรรณภิงคาร แห่งเมืองหนองหารหลวง พญาคำแดง แห่งเมืองหนองหารน้อย พญาอินทปัตถนคร แห่งเมืองอินตปัต พญาจุลณีพรหมทัต แห่งเมืองจุลณี และพญานันทเสน แห่งเมืองศรีโคตบูร ได้ร่วมกันก่อสร้างองค์พระบรมธาตุ แล้วนำพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานไว้ภายใน ณ ที่บริเวณดอยกปณคีรี หรือ ภูกำพร้า แห่งนี้ เพื่อเป็นหลักพระพุทธศาสนา และเนื้อนาบุญกุศลของทวยเทพและมนุษย์ องค์พระธาตุพนม จึงทรงความศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์เรื่อยมา.....





อนุโมทนาให้กับ
คุณนมครวล xchange.teenee.com

'เชน' ช็อก ภาพหลุดกับผีเชียงใหม่

'เชน' ช็อก ภาพหลุดกับผีเชียงใหม่



นักร้องดัง เชื่อเป็นขาผีสาวที่เชียงใหม่ โดยภาพหลุดกับผีเป็นภาพที่แฟนคลับรายหนึ่งส่งมา และเป็นแฟนคลับที่ไม่ได้ฟอลโลเขาในทวิตเตอร์...


เชน-ธนา ลิมปยารยะ นักร้องอาร์เอสฯ เผยแก่ไทยรัฐออนไลน์ กรณีมีภาพหลุดว่อนในสื่อทวิตเตอร์ เผยให้เห็นขาของหญิงสาว แทนที่ขาตนเอง เจ้าตัวขวัญผวา เผยว่าเป็นภาพแฟนคลับรายหนึ่งส่งมาให้ดูหลังไปร่วมรายการวิทยุรายหนึ่งที่ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา
เชนเผยว่า ตนเองสวมกางเกงขายาว เชื่อแน่ว่าขาที่เห็นในภาพไม่ได้เป็นขาของตนเอง ตอนนี้พยายามหาแหล่งที่มาของภาพเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัย
"ตอน เห็นครั้งแรก ผมสติแตกมาก ทำอะไรไม่ถูก ก็พยายามเช็คไปทางรายการวิทยุดังกล่าว เขาก็บอกว่าไม่ทราบแหล่งที่มา เชื่อว่ามีแฟนคลับรายหนึ่งถ่ายไว้ และทวิตมาให้ผม ตอนนี้ผมหลอนๆ เมื่อเช้าก็ไปทำบุญมาครับ"


ไทยรัฐออนไลน์


โดย ไทยรัฐออนไลน์
19 ธันวาคม 2553, 17:25 น.

บทความที่ได้รับความนิยม