วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

กระสือ

กระสือ

กระสือ เป็นชื่อผีชนิดหนึ่งที่ถือว่าเข้าสิงในตัวผู้หญิงและชอบกินของโสโครก คู่กับ "กระหัง" ซึ่งเข้าสิงในตัวผู้ชาย

ความเชื่อเกี่ยวกับกระสือ
กระสือเป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินกลางคืนและไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีเขียวเรืองวาม ๆ

ใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือดจะชักนำให้ผีกระสือมาและเข้าสิงกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูกหรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้ามา เชื่อกันว่ากระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้

นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครกเช่นอุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป

กระสือนั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายง่าย ๆ ต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือต่อก่อน ตนจึงจะตายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป

การปราบกระสือนั้น ไม่สามารถไล่ผีที่มาสิงสู่ออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจของคน ๆ นั้นแล้ว ฉะนั้น การปราบกระสือก็เท่ากับต้องฆ่าคน ๆ นั้นไปเลย

คติเรื่องกระสือในต่างประเทศ
ในแถบมาเลเซียยังมีเรื่องของผีที่มีลักษณะคล้ายกระสือของไทยด้วย เรียก "ผีฮันตูปินังกาลัน"

มีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก วันหนึ่งในตอนกลางคืน ผู้เป็นพ่อได้ออกไปธุระข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่ปิดประตูอยู่ในห้อง แล้วนางก็หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมาด้วย เวลาที่ออกหากินจะเห็นเป็นแสงสีเหลือง และมีเสียงดังดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยไปเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่จะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง ผู้เป็นลูกได้แอบเห็นดังนั้นจึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง ขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยเกิดกลัวจนร้องโวยวายออกมาว่า "ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว" จนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าเยี่ยมหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายก็เงียบลง หลังจากวันนั้น ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีไปจากที่นั่น และไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย

นอกจากนั้นแล้วที่ญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินได้ในเวลากลางคืน อาศัยอยู่แถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนซามูไรผู้กล้าผู้หนึ่งที่เลิกจากการเป็นซามูไรแล้ว ได้บวชเป็นพระธุดงค์ผ่านไป หัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ก็ได้นิมนต์ให้ไปพักที่บ้าน ในเวลากลางคืนพระก็ตื่นขึ้นมากลางดึก หวังจะดื่มน้ำโดยไม่รบกวนเจ้าบ้าน ขณะผ่านไปยังห้องที่เหล่าปีศาจนอนกันพบว่า ทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัวแล้ว พระตามไปดูนอกบ้าน พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา ใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้น และคุยกันว่าจะกินพระในเวลาก่อนรุ่ง พระเลยลากเอาร่างที่ไร้หัวเหล่านั้นไปซ่อนไว้ เมื่อปีศาจกลับไปดูที่บ้านไม่พบทั้งพระและร่างของตัวเองเลยตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้รุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจทำอะไรพระได้ เพราะพระเคยเป็นซามูไรมาก่อน ก็ตายลงเมื่อถึงเวลาเช้า แต่หัวของหัวหน้าปีศาจก็ได้กัดติดกับจีวรพระไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกผู้คนเอาเงิน แต่ต่อมากลัวปีศาจจะมาเอาคืน เลยทำสุสานฝังให้ ว่ากันว่าสุสานแห่งนี้ยังมีปรากฏจนถึงทุกวันนี้

อิทธิพลของความเชื่อเรื่องกระสือ
ราชบัณฑิตยสถานแถลงว่า ความเชื่อเรื่องกระสือนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยโบราณหลายประการด้วยกัน เป็นต้นว่า

1. ผลกล้วยที่แกร็นทั้งเครือ จะเรียกว่า "กล้วยกระสือดูด"

2. คนตะกละกินหรือคนที่กินอย่างสวาปาม จะเรียกว่า "คนตะกละเหมือนผีกระสือ" หรือ "คนกินเหมือนผีกระสือ"

3. โคมชนิดหนึ่งซึ่งมีที่เปิดปิดไฟได้และมีแว่นฉายแสงไปได้วาบ ๆ เรียกว่า "โคมตาวัว" หรือ "กระสือ"

4. ไพลชนิดหนึ่งซึ่งเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า "ว่านกระสือ"

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม