วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

พบกันที่บางบาล

พบกันที่บางบาล

"ป้าณี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคราวน้ำท่วมใหญ่

ป้าเป็นคนบางบาล อยุธยา มาตั้งแต่เด็กจน สาว ตอนนี้ปาเข้าไปห้าสิบกว่าๆ แล้ว เคยผจญเวรผจญกรรมกับน้ำท่วมมานับครั้งไม่ถ้วน มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ต้องเจอะเจอเข้าทุกปีแหละค่ะ ไม่รู้เวรกรรมอะไรนักหนา

ยิ่งเข้าหน้าฝนเป็นใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ไปหมด แต่ถ้ารอดไปถึงหน้าน้ำก็ต้องลุ้นระทึกอีกว่าจะเจอน้ำเหนือบ่าลงมาเจิ่งนองสุดลูกหูลูกตาเหมือนปีก่อนๆ อีกหรือเปล่าหนอ?

ส่วนมากน่ะไม่ค่อยรอดหรอกค่ะคุณ!

ฟังวิทยุหรือดูทีวีแล้วใจหายใจหกทุกทีไป ไม่ว่าจะเป็นพายุจากทะเลจีนใต้ เข้าฟิลิปปินส์แล้วจะพุ่งเข้าเวียดนามก่อนโจมตีไทย แม้จะกลายเป็นดีเปรสชันที่เบาบางลง แต่บ้านเราก็โดนเต็มๆ ทั้งอีสาน เหนือ และภาคกลาง ล่ะค่ะ

ขนาดน้ำท่วมหนัก บ้านช่องไร่นาพินาศวอดวายผู้คนเดือดร้อนกันนับแสนๆ ครอบครัวเชียว เจ้าประคุณเอ๋ย เมื่อไหร่ทางการจะแก้ไขปัญหาซ้ำซากนี้ได้สำเร็จเสียทีหนอ?

ก่อนนั้นตอนหน้าร้อน กรมชลฯ ก็ไม่ยอม "พร่องน้ำ" จากเขื่อนลงมา อ้างว่าถ้าเกิดฝนแล้ง จะทำยังไง? พอโดนพายุกระหน่ำ ฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว 3 วัน 3 คืนก็ตาลีตาเหลือกปล่อยน้ำลงมาแทบหายใจหายคอไม่ทัน ตั้งแต่เหนือลงมาจนถึงภาคกลาง สิงห์บุรี อยุธยา กับอ่างทองก็รับไปเต็มๆ น่ะซีเจ้าคะ

อีกแค่ 2-3 วันก็ทะลักถึงปทุมธานี นนทบุรี แล้วกรุงเทพฯ รอบนอกจะไปมีอะไรเหลือล่ะ ทูนหัว?

น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีก่อน ป้ากับลุงดันไปเจอะเจอเรื่องสยองขวัญเข้าเต็มเปาค่ะ!

ปีนั้นน้ำท่วมสาหัส มีคนตกน้ำตายไป 3 คน เผาผีก็ไม่ได้เพราะน้ำท่วมเมรุ คนที่ดันทุรังขนศพลงเรือไปวัดก็เกิดเรือล่ม ...ทั้งคนทั้งศพในโลงถูกกระแสน้ำพัด กระเจิงไป คิดดูเถอะค่ะว่าน่าขนลุกขนพอง แค่ไหน?

พวกเราละแวกใกล้เคียงกัน ไม่ว่าบางชะนี กบเจ่า หรือบางบาลบ้านป‰าน่ะ นอกจากพวกหากุ้งหาปลาแล้วยังชอบใช้เรือไปมาหาสู่กันในย่าน ใกล้ๆ ผิดกับพวกคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เขาห้อปิกอัพ ควบมอเตอร์ไซค์กันตามยุคตามสมัย แต่คนรุ่นป้าน่ะไม่เอาด้วยหรอก บอกตรงๆ ว่าหวาด เสียวซะไม่มี

อ้าว? อุตส่าห์ใช้เรือแล้วยังไม่วายโดนผีหลอกซะอีกแน่ะ!

สาเหตุจากที่ป้าได้ข่าววˆาพี่สาวลื่นหกล้มบนนอกชานบ้าน เพราะมาเก็บข้าวเก็บของที่พอจะขนหนีน้ำได้ กับรอรับข้าวน้ำกับถุงยังชีพ ที่มีตกๆ หล่นๆ บ้าง รับแล้วก็ได้รับอีกบ้าง...คนช่วยเหลือมีน้อยกว่า ต้องไปทางเรือลำบากลำบนน่าเห็นใจ... ไม่ว่าอะไรกันหรอกค่ะ

หลานชายมันพายเรือมาส่งข่าวที่บ้านกุ่ม บาง บาล บอกว่าไม่รู้จะส่งโรงพยาบาลได้ยังไงตอนนี้ ก็ใช้ยากินยาทาตามแบบพื้นบ้านปะทะประทังไปก่อน ป้าเลยชวนลุงให้ลงเรือไปเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการด้วยกัน

ขาไปก็ไปกับหลานชาย เรือคนละลำ เมื่อถึงบ้านก็เห็นพี่สาววัยใกล้ หกสิบนอนซม แต่ยังพูดจากันรู้เรื่อง กำลังใจยังดีค่ะ บอกว่าไม่หนักหนาอะไรหรอก อีกไม่กี่วันก็คงลุกได้ น้ำท่าคงจะลดแล้ว จะห่วงก็แต่ข้าวในนาที่ยังจมอยู่ใต้น้ำเท่านั้น

ราวห้าโมงเย็นป้าก็ลากลับ หลานชายจะพายเรือมาเป็นเพื่อน ป้าก็บอกปัดว่าไม่ต้องเหนื่อยแรงเสียเวลาหรอก ให้ดูแลแม่เชื้อทางนี้ดีกว่า ถ้าน้ำลดแล้วจะมาเยี่ยมเยียนกันใหม่

แล้วป้ากับลุงก็พายเรือ กลับบ้าน...

ป้าพายหัว ลุงพายท้าย ขา กลับไปตามน้ำเลยไม่ค่อยเหนื่อยแรงเท่าไหร่ ป้ามองอะไรซ้ายขวาเล่นเพลินๆ เพราะแม่น้ำมันกว้างขวาง ดูเวิ้งว้างน่าใจหาย สองฝั่งมีต้นไม้หนาทึบ เสียงลมพัดหวีดหวิวระคนกับเสียงพายจ้วงน้ำจ๋อมๆ กอสวะใหญ่น้อยลอยลิ่วๆ ไปทางป่าโมก

ใกล้บ้านเข้าไปทุกที เมฆหนาทึบลอยต่ำ ป้าถอนใจเฮือกใหญ่...ฝนฟ้าขออย่าได้ซ้ำเติมกันอีกเลย เจ้าประคุณเอ๋ย!

ทันใดนั้นเสียงโพล่ง! ก็ดังขึ้นใกล้ๆ เรือกะทันหัน...ใครคนหนึ่งชูมือขึ้นมาเหนือน้ำ ได้ยินแว่วๆ ว่าช่วยด้วย...ลุงวางพายลง เอื้อมไปคว้ามือนั้นผิดๆ ถูกๆ ส่วนป้าก็ละล้าละลัง ใจเต้นโครมครามเมื่อเห็นคนกำลังจะจมน้ำตายต่อหน้าต่อตา

ในที่สุดลุงก็คว้าข้อมือไว้ได้ ดึงแรงๆ พร้อมกับร่างนั้นทะลึ่งพรวดขึ้นมาเกือบถึงอก...ตาเทียนคนบางบาลนั่นเองที่หวิดจะจมน้ำตาย หน้าตาเหลือกลาน สำลักน้ำยกใหญ่

จู่ๆ ป้าก็นึกขึ้นมาคล้ายฟ้าแลบวาบเข้าสมอง... ตาเทียนจมน้ำตายแล้วนี่นา!!

ลุงก็คงเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อเห็นหน้าขาวซีดเริ่มเปื่อยจนเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ นัยน์ตาลึกกลวงเหมือนถ้ำนรกที่ล้ำลึก ปล่อยมือออกพลางผงะหน้าร้องลั่นว่า ผีหลอกโว้ย! ผีหลอก...

ผีตาเทียนจมวูบไปในสายน้ำขุ่นคลั่ก เราจ้ำพายกันไม่คิดชีวิต...ขนหัวลุกซีคะ!

ไปสู่ความหลัง

ไปสู่ความหลัง

"หนุ่มน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพลงอีแซว

ผมเคยเป็นหนุ่มสุพรรณฝันหวานเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ เสียหลายปี แถมทำการทำงานมีครอบครัวอยู่ในเมืองหลวง จนลูกเต้าใกล้จะเรียนจบไปตามๆ กันแล้วล่ะครับ

อาศัยว่าบ้านเดิมอยู่ใกล้ๆ แค่นี้ รถแล่นสองชั่วโมงจนเหลือแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ผมเลยไปเยี่ยมบ้านบ่อย อย่างน้อยก็เดือนละครั้งให้พ่อแม่ชื่นใจ ไหนจะได้เจอะเจอเพื่อนฝูงทั้งหญิงและชายที่เติบโตมาด้วยกัน พูดคุยกันถึงความหลังตั้งแต่สมัยเด็ก จนแตกหนุ่มแตกสาว มีผัวมีเมีย ลูกเต้าเป็นพรวนไปหมดแล้ว

นอกจากนั้น ยังมีญาติมิตรกับคนอื่นๆ ที่เราเรียกขานกันว่า "พวกบ้าน" สำเนียงสุพรรณเซ็งแซ่ไปหมด คนกรุงเทพฯ เขาว่าพวกเราพูดเหน่อ แต่คนเก่าแก่บ้านผมกลับออกปากว่า...กรุงเทพฯ ก็อยู่ไม่ไกล ทำไมคนที่นั่นมันถึง "พูดเยื้อง" กันทุกคนเลยวะ ไอ้หม่า?

"พูดเยื้อง" ก็หมายถึง "พูดเหน่อ" นั่นแหละครับ

เมื่อเดือนก่อนผมพาลูกหลานเป็นโขยงไปเยี่ยมบ้าน ได้ข่าวว่าตากรายเป็นโรคปอดตาย เพิ่งเผาไปเมื่อวันก่อนนี่เอง...นึกถึงแล้วใจหายเหมือนกัน เพราะจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ชอบฟังนิทานของแก ไม่ว่าเรื่องตลก เรื่องผี เรื่องเพลงพื้นเมืองโด่งดังประจำจังหวัด "เพลงอีแซว" ไงล่ะครับ ตากรายแกเล่าได้สนุกสนานดีนัก

ชื่อแกก็คล้ายกับ "พ่อกร่าย" พ่อเพลงรุ่นพ่อไสว พ่อบัวเผื่อน พ่อโปรย...ตากรายบอกว่าแต่ก่อนเพลงอีแซวที่พ่อไสวสันนิษฐานว่าคงจะมาจากการ "ร้องแซวกันทั้งคืน" แต่เดิมขึ้นต้นว่า...ตั้งวงไว้เผื่อ ปูเสื่อไว้ท่า เอย...จะให้วงฉันราซะแล้วทำไม เอย...

ตากร่ายเป็นคนทำให้มีการเปลี่ยนคำขึ้นต้นเป็น...เอ้ามาเถอะหนากระไรแม่มา...แล้วแตกช่อต่อดอกไปตามใจชอบ เช่น แม่คุณอย่าช้านะแม่หน้านวลใย, แม่จะมัวชักช้าอยู่ทำไม

จนกระทั่งเอามาเล่นมุขโลดโผน เช่น ไหนๆ พี่ก็มาหาถึงที่ แล้วน้องจะมัวยืนคลำเก้าอี้อยู่ทำไม? เพื่อเรียกเสียงฮาจากท่านผู้ชม

จำได้ว่าแม่เพลงดังๆ รุ่นนั้นก็มีแม่ตลุ่ม แม่บัวผัน ลงมาถึงแม่ขวัญจิตที่เล่นอีแซวมาตั้งแต่เด็ก จนโด่งดังได้เป็นศิลปินแห่งชาติแบบแม่บัวผัน เดี๋ยวนี้ก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว แต่ยังมีชื่อเสียงไม่ลดราลงไปเลย

คืนนั้นผมแยกย้ายจากเพื่อนฝูงเก่าๆ ที่ร้านในตลาดกลับบ้าน แสงจันทร์ขาวนวลอย่างที่เขาเรียกว่า "แทบจะจับมดได้" มาถึงบ้าน ลมเย็นฉ่ำพัดโชยไม่ขาดสายทำให้อาการมึนนิดๆ แทบจะหายไปจนหมดสิ้น ขณะที่เสียงอะไรคุ้นๆ หูดังล่องลอยมาตามลม...

เสียงเพลงพื้นบ้านแน่ๆ แต่แทนที่จะเป็นอีแซว กลับเป็นเพลงฉ่อยที่ไม่มีรำมะนา แต่เป็นเสียงกลองสองหน้า ฉิ่ง กรับและการตบมือให้จังหวะครึกครื้น

คุณพระช่วย! เสียงแม่บัวผันครับ สุดยอดแม่เพลงอีแซวแห่งเมืองสุพรรณบุรี!

"เอย...เขาว่าคนเราเกิดมาย่อมจะมีขันธ์ 5 ไม่ว่าทั้งหญิงทั้งชาย หนุ่มตายก่อนแก่ แก่ตายก่อนหนุ่ม เขาตายกันเสียออกกลุ้มเอ็งรู้ไหม เขาเวียนเจ็บเวียนไข้เวียนตายเวียนเกิด เอากำหนัดมากำเนิดแต่ไหน เราเวียนเจ็บไข้ในวัฏสงสาร ชีวิตของเรามันจะนานไปซักแค่ไหน เอ็งจะหลงระเริงเพลิงมันจะเผา ชีวิตเอ็งจะเข้ากองไฟ เอ่ชา..."

ผมกระเดือกน้ำลายลงคอยากเย็น สายลมพัดผ่านยอดไม้ร่มครึ้มอยู่ในแสงจันทร์เหมือนจะโบกสะบัดเอาเสียงเพลงพื้นเมืองเก่าแก่ที่ซึมซับไว้หลายสิบปี ให้ล่องลอยออกมาขับกล่อมผู้คนในยามราตรีอันเยือกเย็นจับใจ!

เสียงพ่อเพลงตอบโต้ ผสมผสานกับเสียงคอสอง คอสาม ร้องขัดเข้าจังหวะ ดังกระท่อนกระแท่นเต็มที ไม่ชัดเจนเหมือนเสียงแม่เพลงเก่าแก่ ถ้าจำไม่ผิดก็คือแม่ตลุ่ม คู่ปรับตัวลือของพ่อกร่าย

"เอย...เอ็งมีเงินกี่กอง มีทองกี่หาบ มาถึงก็จะคาบเม็ดใน เอ่ชา..."

เสียงแม่บัวผันดังขึ้นชัดเจนอีกครั้ง สำเนียงละห้อยหวนคล้ายจะกล่าวคำอำลาอยู่ในที...

"วิสัยไก่ดีมันต้องตีกันด้วยแข้ง ถ้าเพลงดีว่า แดงค่อยกันไม่ได้...เราว่ากันพอนวลๆ พอหอมหวนปลายหู ผู้คนเขาก็ดูกันได้ เอ่ชา..."

ผมยืนนิ่งงันอยู่ที่ระเบียงบ้านเหมือนกลายเป็นรูปปั้น สายลมเย็นยะเยือกหอบเอาเสียงเพลงและเสียงดนตรีคึกคักระคนกับเสียงหัวเราะเฮฮา ล่องลอยไปกับสายลมยามดึกเหมือนการทักทายของอดีตกาลไม่ผิดเลย...

ขอยืนยันว่าไม่ได้หวาดกลัวต่อเสียงเพลงเก่าๆ เหล่านั้นหรอกครับ ตรงกันข้าม กลับซาบซึ้งต่อเสียงเพลงแห่งความหลังสมัยเด็กและวัยหนุ่มด้วยซ้ำ แต่ทำไมขนหัวลุกก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ!

คืนรับวิญญาณ

คืนรับวิญญาณ

"รักษิณา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนสยอง

สมัยเด็กดิฉันอยู่ในซอยสายลม สนามเป้า ซอยนี้เข้าไปมีหลายเลี้ยว ใช้เป็นทางลัดไปออกซอยสุทธิสาร 8 หรือไม่ก็สวนทางกันเพื่อหลบการติดขัดของจราจรก็ได้ค่ะ

บ้านติดกันคือบ้านป้าแจ่ม อายุ 70 เศษ รุ่นเดียวกับยายดิฉัน แต่แม่เรียกว่าป้าแจ่ม ดิฉันกับพี่ๆ น้องๆ ก็พลอยเรียกป้าแจ่มไปด้วย สังเกตว่าถ้าได้ยินพวกเราเรียกแบบนี้ทีไร ป้าแจ่มจะยิ้มละไม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความขบขันระคนพออกพอใจมากๆ เลย

ป้าแจ่มร่างเล็กบาง ผมดัดสั้นๆ ขาวโพลนเหมือนปุยสำลี...ยายเคยชมป้าแจ่มต่อหน้า ยังติดหูติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้

"แม่แจ่มผมขาวสวย น่าอิจฉาจริงๆ เพราะฉันใจไม่ถึงเหมือนแม่แจ่ม ไม่กล้าปล่อยขาว เลยต้องย้อมผมเดือนละครั้ง"

สามีป้าแจ่มเสียชีวิตไปเกือบสิบปี อยู่กับลูกๆ หลานๆ อีกหลายคน ตัวเองเป็นครูเก่า ออกมารับบำนาญกินทุกเดือนไม่เดือดร้อน ถึงสิ้นเดือนก็แต่งตัวออกไปรับบำนาญ ขากลับจะมีขนมและผลไม้มาฝากหลานๆ และเด็กข้างบ้านอย่างดิฉันกับพี่น้องเป็นประจำ

เมื่อดิฉันเรียน ม.ปลาย ป้าแจ่มก็ไม่ต้องไปรับบำนาญแล้ว แกบอกว่าตอนนี้เขาโอนเงินเข้าบัญชีให้เลย ดิฉันกับเพื่อนๆ ที่เคยไปวิ่งเล่นที่บ้านป้าแจ่ม ไปมาหาสู่กันเป็นประจำตั้งแต่เด็กจนรุ่นสาว ก็ยังไปหาป้าแจ่มตอนเย็น หรือไม่ก็วันเสาร์วันอาทิตย์อยู่เสมอ

ป้าแจ่มมีเก้าอี้นวมตัวโปรดอยู่ที่เฉลียงร่มรื่น มีทั้งกระดังงา, การะเวก, มหาหงส์ และสายน้ำผึ้งเลื้อยขึ้นตามค้าง ตอนหลังมีไม้เลื้อยพันธุ์ใหม่ ดอกสีขาวเป็นช่อหอมกรุ่น เราเรียกราชาวดี แต่ป้าแจ่มบอกเสียงหัวเราะว่า...ต้องเรียกไลแล็กซีจ๊ะ ถึงจะไม่เชย!

พวกเราขำกลิ้งไปตามๆ กัน ชอบฟังคำพูดแปลกๆ แต่น่าคิดน่าขำของป้าแจ่มทุกคนแหละค่ะ อย่างพูดถึงสวรรค์หรือเทวดา ป้าแจ่มก็จะบอกว่า

"โอ๊ย! อย่าไปสนใจเลยว่าข้างบนโน้นจะมีจริงหรือเปล่า หรือถ้าเกิดมีจริงๆ ป้าก็คิดว่าเขาคงไม่อยากยุ่งกับพวกเราหรอก"

แต่พวกเราก็มักจะมีปัญหาเรื่องการเรียน ทั้งการสอบไล่บ้าง สอบเอ็นท์ บ้าง...บางคนก็ผิดหวัง ทำ หน้าเศร้ามาหาป้าแจ่ม บางคนเงียบๆ เฉยๆ แต่บางคนหน้าตาซึมเซาเศร้าหมอง เอ่ยปากว่าจะทำยังไงดี ในเมื่อชีวิตมันไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดเลย!

ป้าแจ่มถอนใจยาว บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"เราก็ต้องฟันฝ่ามันไปน่ะซีจ๊ะ ถึงชีวิตจะผิดหวัง หม่นหมองแค่ไหน เราก็ต้องต่อสู้ต่อไป...ถ้าตอนนี้ยังยิ้มไม่ได้ ก่อนตายเราจะหัวเราะได้ยังไง? แต่ถ้าตายเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าได้หยุดพักไปตลอดกาลเมื่อนั้น"

ยุพดี เพื่อนรุ่นพี่ถามว่าตอนนี้ป้าแจ่มมีความหวังอะไรในชีวิตบ้างล่ะคะ?

คนอื่นๆ เงียบไปหมด แต่ก็อยากรู้คำตอบตรงกัน ป้าแจ่มถอนใจอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำข้าวเหม่อลอย เหมือนกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีตัวตน ก่อนจะฝืนยิ้ม

"ป้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้พบคนที่ป้ารักเสียที! ไม่ว่าพ่อ แม่ ญาติมิตรสนิทสนม สามีกับลูกชายคนโตที่ตายจากไปตั้งแต่เด็กๆ ป้าไม่เชื่อเรื่องสวรรค์-นรก แต่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง ใครอยากไปที่ไหนก็ได้ไปที่นั่น! คืนก่อนลูกชายป้าก็มาหา..."

ขณะนั้นราวห้าโมงเย็นกว่าๆ อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนจนดูเหมือนใกล้ค่ำ ลมพัดวูบ ยอดไม้ไหวซ่า เล่น เอาพวกเราเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก เสียงเยือกเย็นของป้าแจ่มก็ดังวู่หวิวคล้ายจะคละเคล้ามากับสายลม

"เขาบอกว่ามาหาแม่ มารอรับแม่...เวลาของแม่เหลือน้อยลงทุกทีแล้ว! พ่อกับตายายก็จะมารับแม่ด้วย...พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง! พวกเพื่อนๆ ของแม่อีกหลายคนก็จะมารับเหมือนกัน...ไปด้วยกันเถอะแม่! เราจะได้มีความสุขเหมือนวันคืนเก่าๆ ไงล่ะ..."

"ต๊ายตาย!" ยุพดียกมือทาบอก ทำตาโต "น่ากลัวจังค่ะ"

ดิฉันกลืนน้ำลาย ขนลุกซ่าไปทั้งตัว มองดูนัยน์ตาอมสุขของป้าแจ่มแล้วใจหาย...เป็นนัยน์ตาของคนที่พร้อมจะอำลาโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ด้วยความสุขและความหวังเต็มเปี่ยม

วันต่อๆ มาป้าแจ่มดูสดชื่นแจ่มใส มองพวกเราด้วยแววตายั่วเย้าและเอ็นดู

"จวนจะได้เวลาของป้าแล้ว อย่าคิดอะไรมากเลยหนู เมื่อคืนสามีป้าก็มาหา พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงอีกหลายคน...เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้หรอก! ความตายก็เหมือนการนอนหลับหรือฉากผ่านของชีวิต เป็นความฝันที่ไม่มีวันสิ้นสุดของคนเราเท่านั้นเอง"

จนกระทั่งคืนนั้น...เสียงหัวเราะเริงร่าดังมากระทบหูจนดิฉันสะดุ้งตื่น อากาศยามดึกเย็นยะเยือก เหมือนมีอะไรดลใจให้ลุกไปดูที่หน้าต่าง ตรงกับหน้าบ้านป้าแจ่มพอดี

หญิงชายกลุ่มใหญ่ยืนพูดคุยปนหัวเราะกันอยู่ที่ระเบียง ป้าแจ่มแต่งตัวเรียบร้อยเดินยิ้มแย้มออกมา ผมสีเงินยวงดูเป็นประกายอยู่ในแสงจันทร์...แล้วภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปจากม่านน้ำตาของดิฉันเอง!

ผู้หญิงในดงกล้วย

ผู้หญิงในดงกล้วย

"กระต่าย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากดงกล้วยที่อยุธยา

หนูมีญาติห่างๆ ชื่อ ป้ามล อยู่ที่จังหวัดอยุธยา ตอนปิดเทอมได้ชวนหนูกับน้องๆ ไปค้างที่บ้านสัก 2-3 คืน โดยมี พี่ติ๊ก อายุ 17 ปี ลูกสาวป้ามลเป็นคนพาเที่ยว

ตัวหนูเอง น้องแจ๊ก และ น้องจีน นั่งรถไฟไปกับ พี่อั๋น-เลขาฯ ของคุณแม่ เราสนุกมากค่ะ ตื่นเต้นดีจัง แป๊บเดียวก็ถึงอยุธยาแล้ว คุณป้ากับพี่ติ๊กเอารถมารับ แล้วยังแวะกินอาหารบุฟเฟต์ที่โรงแรม กรุงศรีริเวอร์ใกล้ๆ สถานีด้วย

วันนั้นหนูได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา พระราชวังจันทรเกษม ตอนเย็นก็ไปวัดไชยวัฒนาราม หนูประทับใจบรรยากาศมากๆ แล้วยังได้กราบเจดีย์เจ้าฟ้ากุ้งด้วยค่ะ

อาหารค่ำวันนั้นเป็นน้ำพริกผักต้มและต้มยำปลาแบบโบราณแสนอร่อย

บ้านคุณป้าอยู่ใกล้ๆ วัดกษัตราธิราช เป็นเรือนไทยและมีดงกล้วยอยู่ด้านหลัง พวกหนูกับพี่อั๋นนอนที่ห้องเล็กแต่สบายมาก ตอนแรกหนูคิดว่าเราจะกลัวผีเพราะมานอนเรือนไทยเก่าแก่ ไม่ต้องกางมุ้งด้วย อากาศไม่ร้อน แถมยังมีพัดลมตั้งอยู่ตัวหนึ่ง

เราปูที่นอน นอนเรียงกันบนพื้น ห่มผ้าแพรบางๆ สบายดีจัง

ก่อนนอนหนูดูทีวี คุยกับคุณป้า พี่ติ๊ก พี่อั๋นและน้องๆ แล้วน้องแจ๊กก็ออกไปเดินเล่นแถวลานต้นลั่นทมส่งกลิ่นหอมชื่นใจ หนูกับพี่อั๋นก็ชอบกลิ่นลั่นทมค่ะ น้องจีนอายุ 8 ขวบ ก็เดินไปกับเราด้วย เก็บดอกลั่นทมมาเยอะเลย บอกว่าจะเอามาร้อยเป็นพวงมาลัยอย่างฮาวาย

บ้านคุณป้ามลนี่น่าอยู่มากค่ะ คืนนั้นพระจันทร์ เต็มดวง ทุกอย่างดูสวยไปหมด โดยเฉพาะดงกล้วย ที่มีราว 30-40 ต้น พี่ติ๊กบอกปลูกไว้มีประโยชน์มาก ได้กินทั้งกล้วยที่หวานอร่อย วิตามินสูง ใบตองก็เอามาใช้ห่อของได้

อ้อ! ต้นกล้วยเอาไปหั่นเลี้ยงหมูก็ได้ ไส้ในก็เอามาแกงส้มใส่ปลาเล็กปลาน้อยก็อร่อยนัก หรือเวลาเทศกาลลอยกระทงคุณป้าก็จะตัดหยวกกล้วยเอามาทำกระทงขาย

กลางแสงจันทร์สว่างนวลแบบนี้ ต้นกล้วยทั้งกอดูสวยงาม โบกตองกับสายลมเหมือนมีชีวิตชีวาที่สดใสร่าเริง

ทันใดหนูร้องอุ๊ย! เพราะเห็นใบหน้าเรียวแหลมของผู้หญิงที่สวยเหมือนนางแบบ ผมดำยาว ตากลมโต เธอยิ้มให้หนูอยู่ในดงกล้วย น้องๆ กับพี่อั๋นถามว่ามีอะไรเหรอ? หนูก็ถามว่าเห็น นั่นไหม?

พอหันไปอีกที ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วค่ะ! หน้าหนูร้อนวูบแต่หลังเย็นวาบตาพร่าไปพักหนึ่ง...

พี่อั๋นบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ขนลุกหมดเลย! แล้วรีบพาพวกหนูขึ้นบ้าน พอเจอคุณป้าพี่อั๋นก็บอกว่าหนูเห็นผู้หญิงในดงกล้วย คุณป้ากลับหัวเราะแล้วพูดว่า...นางตานีละมั้ง?

หนูตื่นเต้นจริงๆ นะคะ ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีนางตานี หนูเคยอ่านเจอแต่ในหนังสือ พี่ติ๊กมาปลอบใจว่าไม่ต้องกลัวหรอก อาจจะเป็นเพื่อนบ้านเดินมาดูพวกเรา...หนูยังล้อเลยค่ะว่าแฟนของพี่ติ๊กละซี!

คืนนั้นหนูฝันถึงนางตานี เธอสวยจริงๆ หน้า เหมือนผู้หญิงที่หนูเห็น ห่มสไบสีเขียวอ่อน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดงคล้ำเหมือนปลีกล้วย มีดอกไม้ทัดหูด้วยค่ะ

พอตื่นขึ้นหนูก็วาดรูป หนูชอบวาดรูป... พยายามวาดให้เหมือนเพราะจำได้ติดตา

คุณป้ากับพี่ติ๊กดูรูปการ์ตูนที่หนูวาดแล้วยิ้มเฉยๆ แค่นี้ก็รู้แล้วล่ะว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นนางตานีแน่ๆ แต่ไม่เห็นน่ากลัวหรือใจร้ายแบบผีในหนังสือเลย พี่อั๋นซิคะกลัวมากเพราะไม่ได้เห็นอย่างหนู เลยคิดจินตนาการไปใหญ่

ถึงยังไงเราก็ยังค้างอยู่บ้านคุณป้าอีกคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นถึงได้นั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ

เวลาผ่านไปจากวันนั้นถึงวันนี้เกือบสองอาทิตย์แล้ว เรายังเถียงกันอยู่เลยค่ะ ว่าผู้หญิงที่หนูเห็นเป็นคนหรือผีกันแน่?

หนูเชื่อจริงๆ ว่าเธอไม่ใช่คนหรอกค่ะ!

ถ้าเป็นแฟนพี่ติ๊กจริง ก็คงจะเดินออกมาทัก ทายเราแล้วล่ะ และอีกอย่างหนึ่ง เธอจะไปยืนกลางดงกล้วยทำไมคะ? ในเมื่อเราไม่ได้เล่นซ่อนหากันสักหน่อย...เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่เธอจะเป็นมนุษย์อย่างเราๆ

ขนาดผ่านมาหลายวันแล้วหนูยังจำหน้าเธอได้ติดหูติดตา นึกเห็นหน้าเธอทีไรเป็นต้องขนลุกซู่ทุกที

พอเอามาเล่าให้ที่บ้านฟังนะคะ ใครๆ ก็บอกให้ซื้อลอตเตอรี่ คุณแม่ซื้อมาเลขอะไรหนูก็จำไม่ได้แล้ว แต่ถูกเลขท้ายสองตัวตั้งสองใบแน่ะ คุณแม่เล่าให้คุณป้าฟัง แล้วก็ดีใจกันใหญ่

ถึงหนูจะไม่กลัว แต่ถ้าไปค้างบ้านคุณป้าที่อยุธยาอีกหนูก็รู้สึกหวาดๆ เหมือนกันนะคะ ระแวงว่าจะได้เห็นพี่คนสวยในดงกล้วยอีก เพราะหนูคิดว่าไม่เห็นจะดีที่สุดค่ะ!

คาถาไล่ผี

คาถาไล่ผี

"มะปราง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยเปลี่ยวใจ

ดิฉันอยู่ในซอยหน้าสถานีรถไฟสามเสน ซอยนี้ไปออกถนนนครไชยศรีก็ได้ หรือจะทะลุหมู่บ้านที่เรียกว่าซอยฟักไข่ไปออกถนนพระรามห้าก็ได้ค่ะ

สมัยก่อนซอยนี้เปลี่ยวมากทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะบ้านที่ปลูกติดๆ กันล้วนมีรั้วรอบขอบชิดทั้งหมด ตอนบ่ายๆ มักมีคนโดนจี้ โดนคนร้ายดักอยู่ตามหัวมุมบ้าง บึ่งมอเตอร์ไซค์มาใช้จี้ด้วยปืน ขนาดตำรวจ สน.ดุสิตยังเรียกว่า "ซอยเปลี่ยวใจ" เลยค่ะ!

ยิ่งตอนค่ำคืนชาวบ้านล้วนแต่กลัวทั้งคนและผี ไม่มีใครอยากเดินผ่าน ยกเว้นแต่พวกผู้ชายที่มากันเป็นกลุ่ม พอเข้าซอยไม่ไกลก็มีทางแยกด้านซ้าย ก้นซอยเป็นทางแคบๆ ซอยต่อมามีทางแยกซ้ายขวาที่อ้อมไปทะลุถึงกัน ต่อมามีคอนโดฯ ผุดขึ้นมาทำให้ผู้คนคึกคักหนาตากว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าเปลี่ยวน่ากลัวอยู่นั่นเอง

จุดสำคัญที่สุดคือ ก่อนถึงทางแยกทั้งซ้ายและขวา จะมีที่รกร้างอยู่ซ้ายมือ คนมักง่ายเอาขยะไปทิ้งประจำ หลายๆ ปีเข้าก็กลายเป็นกองขยะสูงท่วมหัวท่วมหูเป็นภูเขาเลากาเลย

ต่อมา เจ้าของที่เอารั้วลวดหนามไปกั้นไว้ริมทาง กทม.ก็มาช่วยโกยขยะไปบ้าง แต่คนมักง่ายก็อาศัยทีเผลอโยนขยะเข้าไปจนกองพะเนินเทินทึกตามเดิม

ชาวบ้านลือกันว่า ที่นั่นแหละผีดุนักหนา!

บางคนว่าเป็นผีเจ้าที่ แต่บางคนก็ว่ามีผู้หญิงโดนฆ่าหมกศพไว้ที่นั่นหลายปีแล้ว

ที่ว่าผีดุก็เพราะมีคนเห็นหลายรายน่ะซีคะ บางทีขับรถกลับบ้านตอนกลางคืนก็เห็นผู้หญิงโผล่ออกมาจากกองขยะครึ่งตัว บางคนก็เห็นยืนจังก้าอยู่บนกองขยะ ผมยาวสยายประบ่า แทบจะสติแตกไปตามๆ กัน

คุณลุงในซอยเคยออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้ามืด วันหนึ่งเกิดเห็นใครวิ่งจ๊อกกิ้งสวนทางมา ตอนแรกก็ดีใจว่ามีเพื่อนออกกำลังตอนเช้า แต่พอใกล้เข้ามาจนมองเห็นถนัด คุณลุงก็แทบจะช็อกตายคาที่อยู่ตรงนั้นเอง...นักวิ่งที่ใกล้เข้ามาน่ะ ไม่มีหัวหรอกค่ะ!

พอหันกลับได้ คุณลุงก็เปลี่ยนจากนักจ๊อกกิ้งเป็นนักวิ่งลมกรด รวดเดียวไปถึงบ้าน หอบฮั่กๆ เจียนตาย สบถสาบานว่าจะเลิกเป็นนักจ๊อกกิ้งไปจนชั่วชีวิตสลาย

มีคนค้านว่าอาจจะตาฝาดไปเอง เห็นกองขยะหรือเสาไฟฟ้าเป็นภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เมามายก็ต้องประสาทหลอนแน่ๆ ผีสางที่ไหนไม่มีหรอก! แต่เมื่อมีคนโดนหลอกหลอนหลายรายติดๆ กันเข้า กับมีคนท้าให้ไปเดินดูของจริงตอนดึกๆ คนที่ค้านก็เงียบเสียงไปเลย

บรรยากาศบริเวณนั้นก็วังเวงน่ากลัวจริงๆ ด้วย!

บ้านข้างๆ กับฝั่งตรงข้ามมีรั้วแน่นหนา แถมปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ พวกมะม่วงมะขามร่มครึ้มกันทุกบ้าน ลมพัดทีก็สะบัดใบซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้คนสะบัดร้อนสะบัดหนาว ใจคอเต้นตึกตักด้วยความหวั่นระแวง ส่วนมากตกค่ำก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านแบบตัวใครตัวมันทั้งนั้น

คืนหนึ่ง ดิฉันกับป้าต้อยก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ!

สาเหตุมาจากเราไปเยี่ยมญาติที่เปาโล สะพาน ควาย ผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดานี่เองอาการไม่หนักหนาอะไร เราพบกับญาติมิตรหลายคนที่นั่น ส่วนมากรู้จักมักจี่กันทั้งนั้น เลยติดลมคุยกันสนุกสนานจนถึงสามทุ่มเศษถึงได้แยกย้ายกันกลับ

ไม่ใช่เราประมาทนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลเพื่อความสะดวก บ้านดิฉันอยู่ถัดจากกองขยะผีสิง เลี้ยวขวาไปราวสามสิบกว่าเมตรก็ถึงบ้านแล้ว

แหม! ถ้าไม่หันไปมองกองขยะตอนรถแล่นผ่านก็ไม่ต้องกลัวผีหลอกดอกค่ะ!

เชื่อไหมคะว่าผ่านซอยแรกไปแล้ว กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปถึงจุดหมาย แท็กซี่ก็เกิดเครื่อง ดับดื้อๆ ตอนแรกดิฉันกับป้าต้อยกุมมือกันแน่น คิดว่าโดนคนร้ายในคราบแท็กซี่เล่นงานแน่ๆ เพราะคนขับเป็นหนุ่มฉกรรจ์ร่างใหญ่ หน้าเหี้ยม นั่งเงียบมาตลอดทาง

เขาลองสตาร์ตเครื่องอีก 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่ติด ลงไปเปิดฝากระโปรงดูสักพักก็ส่ายหน้ามาขอโทษขอโพยบอกว่าไม่รู้รถเป็นอะไร? เขาขับรถได้แต่แก้รถไม่เป็น ต้องโทรศัพท์ไปตามช่างหรือรถลากไปที่ปั๊มน้ำมัน

เราโล่งอกตอนแรก แต่แล้วก็เสียวใจวูบเมื่อนึกถึงกองขยะผีสิง!

ป้าต้อยจ่ายเงินให้ เขายกมือไหว้ขอบคุณ... พอเลี้ยวซ้ายก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งเงียบกริบ อากาศเยือกเย็นจนขนลุก ว่าจะไม่มองไปทางกองขยะก็อดไม่ได้...แล้วก็ได้เห็นภาพนั้น

คุณพระช่วย! ร่างในชุดดำนั่งกอดเข่าอยู่ริมทางด้านซ้ายมือนั่นเอง...ดิฉันกลัวจนแทบร้อง ไห้ แต่ป้าต้อยปลอบให้ใจเย็น ป้ามีคาถาไล่ผี...ว่าแล้วก็เปล่งเสียงออกไปดังๆ ว่า

"ชาติหน้าฉันใดขออย่าได้เกิดมาพบพระพบเณร อย่าได้เกิดมาเห็นน้ำเห็นฟ้า เห็นดินเห็นทรายอีกเลย...เพี้ยง!"

ขาดคำ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน หน้าดำเมี่ยม ผมยาวสยาย มีเสียงคล้ายกรีดร้องโหยหวนก่อนจะหายวับไป...เรารีบจ้ำรวดเดียวถึงบ้าน แทบเป็นลมเลยค่ะ!

บทความที่ได้รับความนิยม