วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

ห้องดับจิตที่ป่ากล้วย


ห้องดับจิตที่ป่ากล้วย

พ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งพ่อยังหนุ่มๆ พ่อทำงานเป็นช่างไม้อยู่ที่โรงเรียน ที่เขากำลังสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลังหนึ่ง เพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น ตอนนั้นก็ประมาณปี พ.ศ. 2508 ได้กระมัง ฉันอายุประมาณ 8 ขวบ และเพิ่งเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน ข้างๆ โรงเรียนจะเป็นวัด เอ...พูดไม่ถูกสิ ข้างๆ วัดเป็นโรงเรียน ต่างหาก เพราะโรงเรียนปลูกอยู่ในที่ของวัด เลยไปก็เป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นใหม่ แต่ยังสร้างไม่เสร็จ ถัดออกไปทางด้านที่ติดกับคลอง เลยถนนหลวงเข้าไปหน่อยจะเป็นโรงโกดัง (โรงเก็บศพ) สมัยนั้นเขาเรียกกันอย่างนี้ หรือเรียกให้หรูว่า ห้องหลังความตาย แต่ที่โรงพยาบาลเรียก ห้องดับจิตหรือห้องเย็น

ก่อนที่เขาจะทำการเผาผี ต้องไปเอาโลงศพออกมาจากโกดังนี้ เขาจะมีชื่อเขียนไว้ข้างโลง สมัยนั้น ฉันค่อนข้างจะเป็นเด็ก ซุกซนเหมือนผู้ชาย เคยเข้าไปช่วยเขา เลือกโลงศพ ตามชื่อที่ญาติจะนำออกมาเผา แต่ก็เคยครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งเดียวจริงๆ

ถึงใครจะว่าเด็กกลัวผี ถ้าเป็นตอนกลางวันน่ะ จะไม่ค่อยกลัว แต่พอกลางคืน เป็นตาขาวทุกที ใครจะใช้ให้ไปหยิบอะไรในที่มืดๆ เช่น ให้ไปตักน้ำที่โอ่งในครัว หรือให้ไปเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำที่หก ฉันเป็นต้องอิดออด ไม่อย่างนั้นก็จะต้องฉวยตะเกียงน้ำมันก๊าด ติดมือไปด้วย เลยทำให้คนที่นั่งล้อมวงอยู่ ไม่มีตะเกียง ก็จะมืดสนิทชั่วคราวจนโดนเอ็ดบ่อยๆ ว่าไม่มีมารยาทบ้างล่ะ ซุ่มซ่ามบ้างล่ะ กระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกบ้างล่ะก็ช่างปะไร ฉันซะอย่าง

เรื่องพฤติกรรมความห้าวของฉัน ก็พ่ออีกนั่นแหละที่เป็นคนเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปช่วยสัปเหร่อขนโลงศพคนตายออกมาจากโกดัง ซึ่งฉันก็ยังจำได้ดี ช่วงนั้น พ่อเลิกงานและไปแวะรับฉันที่โรงเรียน เพื่อจะกลับบ้านพร้อมกัน พอเดินผ่านวัด สัปเหร่อที่วัดก็วานให้พ่อช่วยยกโลงออกจากโกดัง เพราะคนที่ตายตัวใหญ่มาก สัปเหร่อ กับเด็กวัดสองคนยกไม่ไหว สมัยหนุ่มๆ พ่อยังแข็งแรงและเป็นคนมีน้ำใจด้วยเลยช่วย ส่วนฉันเป็นคนดู หลังจากยกโลงศพออกมาแล้ว เขาให้รีบปิดโรงโกดังทันที เหตุผลน่ะหรือ เนื่องจากจะมีกลิ่นจากศพที่วางซ้อนๆ กันอยู่โชยออกมาและข้างในโรงโกดังเก็บศพ ก็สกปรก มีทั้งหนู ทั้งแมลงสาบ วิ่งกันให้พล่านไปหมด ไม่เคยมีใครเข้าไปทำ ความสะอาดเลย และก็กลัวว่าแมวหรือหมา จะแอบเข้าไปตอนเราเผลอ เพื่อจับหนู หรือเข้าไปหาอะไรกิน แล้วเราไม่รู้ ก็จะขังมันไว้ข้างใน มันอาจจะตายด้วยความทรมาน เพราะในนั้นทั้งร้อนและไม่มีอากาศหายใจเลย

วันที่พ่อไปช่วยเขายกนั้น เป็นวันศุกร์ รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พ่อก็เลยพาฉันไปช่วย ลุงสัปเหร่ออยู่ที่วัดจนมืดค่ำ ตอนออกมา จากวัดนี่สิ บรรยากาศมันทั้งเงียบทั้งมืด เสียจนขนาดเด็กที่ไม่กลัวผีอย่างฉันก็แทบจะทนกับความวิเวกวังเวงไม่ได้

ขณะที่เดินผ่านโรงโกดังมาตามถนน จะมีป่ากล้วยเป็นแนวยาวขนานไปกับถนน จนติดชายคลอง ฉันกับพ่อเดินติดกัน แสงไฟจากไฟฉายที่ลุงสัปเหร่อให้มาไม่พอแก่การมองเห็นไปไกลๆ
ทันใด...ก็ได้ยินเสียงเหมือนประตูโรงโกดังเปิด

พ่อฉายไฟแวบเข้าไปเพื่อตรวจตรา หากมีหมาแมวมันไปตะกุยประตู แล้วกลอนหลุด มันอาจจะมุดรอดเข้าไปได้

แต่.. ไม่มี.. เอาแล้วสิ ให้ตายเถอะโรบิ้น !

ฉันเริ่มออกอาการระแวงขึ้นมาเล็กน้อย พ่อกับฉันหยุดเดินกะทันหัน เมื่อมีแมวดำวิ่งผ่านหน้าไป และวิ่งหายเข้าไปทางป่ากล้วย เขาว่ากันว่าแมวดำ เป็นแมวปีศาจ ตาฉันคงไม่ฝาด เพราะพ่อก็หยุดเดินเหมือนกัน
“พ่อๆ แมววิ่งไปทางโน้น”
“อย่าทักซิ สอนไม่จำ เห็นอะไรกลางคืนห้ามทัก”
ฉันสงบปากสงบคำอย่างว่าง่าย
“พ่อจ๋า ฉันเดินไม่ไหวแล้วขอขี่หลังนะ” แล้วพ่อก็ให้ฉันขี่หลัง เพราะพ่อรู้ว่าฉันนั้นตาขาวขนาดไหนขืนให้เดินเอง คงไปไม่ถึงบ้านแน่ๆ
พ่อเดินมาจนเกือบสุดป่ากล้วย ที่บนถนนแล้วก็จริง แต่เสียงสวดศพที่ศาลา 1 ก็ยังดังแว่วๆ มา แล้วคุณคิดดูสิ มันจะวังเวงขนาดไหน ไม่ต้องดึกมากหรอก แค่ 2 ทุ่ม นี่แหละ
โน่นไง.. เอาเข้าแล้ว มาเป็นแพเลย ป่ากล้วยที่ฉันเห็นตอนกลางวัน ขณะนี้มันมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ต้นกล้วยเอนไปเอนมาเหมือนอย่างกับถูกคนจับโยก เอนไปทางซ้ายก็เอนไปพร้อมๆ กัน เอนไปทางขวา ก็เอนไปพร้อมๆ กัน แต่พอพ่อฉายไฟไปดูมันก็หยุด พอเราเดินต่อมันก็เอาอีกแล้ว เล่นเอาเถิด จนเราขนหัวลุก ไปตามๆ กัน
“ศพลุงแจ๋นี่เฮี้ยนเหลือเกิน” ฉันคิด แต่ไม่กล้าจะพูดกับพ่อ กลัวพ่อจะตวาดให้อีก

พ่อกับฉันเหมือนถูกสะกดให้ดู เหตุการณ์อยู่ตรงนั้น สักครู่ก็มีเงาดำทะมึน โผล่ขึ้นมาจากป่ากล้วย ลอยออกมา แล้วลอยไปแถวชายคลอง ฉันตาไม่ฝาดแน่ เพราะพ่อก็เห็น ฉันกรีดร้องสุดเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่ พ่อก็ออกวิ่งป่าราบ โดยไม่ลืมแบกฉันไปด้วย

พ่อแบกฉันวิ่งกลับเข้าไปในวัด ที่จัดงานศพ แล้วก็นั่งใจสั่นอยู่ข้างๆ ศาลา เพราะเราไม่ใช่ญาติ จะขึ้นไปก็กระไรอยู่ ลุงสัปเหร่อเดินมาดู แล้วเล่าให้ฟังว่า ที่บริเวณป่ากล้วยตรงนั้นมีคนเห็นมาเยอะแล้ว แต่ลุงไม่ได้เล่าให้พ่อฟัง เพราะกลัวจะกลับบ้านไม่ได้ และไม่คิดว่าคนดีๆ อย่างพ่อจะถูกเล่นงานด้วย
แม้แต่พระที่พายเรือไปบิณฑบาต ผ่านบริเวณป่ากล้วยข้างโกดังนี้ ในตอนเช้ามืด ก็ยังเห็น..นั่งห้อยขาอยู่ริมน้ำบ้าง ปีนไปอยู่บนต้นลำพูที่ขึ้นอยู่แถวตามชายคลองบ้าง บางคนอาการหนักหน่อย ก็เห็นรูปร่างสูงใหญ่ ถ่างขายืนคร่อมคลอง ทำเอาหันหัวเรือพายหนีกันแทบไม่ทัน จนไม่มีใครอยากผ่านทางนี้ตอนเวลาโพล้เพล้ หรือมืดค่ำเลย บางที พระที่บวชใหม่ๆ พายเรือไปเจอก็จ้ำเรือหนี จนเรือล่มก็มี ปิ่นตงปิ่นโต จมน้ำหายหมด
ซึ่งเจ้าอาวาสเองท่านก็ปรึกษากับ มรรคทายกอยู่ว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ชาวบ้านและพระสบายใจขึ้น บางที ถ้าเราย้ายโรงโกดังออกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง ที่ไกลทางเดินและคลองก็คงจะดี
ซึ่งหลังจากวันที่ลุงสัปเหร่อเล่าให้พ่อฟัง ผ่านไปได้แค่วันเดียว ลุงสัปเหร่อ ก็ตาย เลยทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปย้าย โรงโกดังของเหล่าวิญญาณที่ยึดพื้นที่เพื่อปฏิบัติการหลอกหลอนมนุษย์และพระต่อไปอีก และชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้าเดินตอนกลางคืนคนเดียว ต้องมากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ สำหรับพระเองท่านก็จะออกบิณฑบาตเมื่อสว่างแล้ว เป็นการแก้ปัญหา เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเหมือนลุงสัปเหร่ออีกนั่นเอง
ปัจจุบันนี้ที่วัดไม่มีโรงโกดังอีกแล้ว (ค่อยยังชั่ว) แต่ยังมีเรื่องเล่าขานกันต่อๆ มา และทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่า ฉันก็ยังขนลุกขนพองอยู่ทุกครั้ง

อดีตพยาบาล


ที่มา
http://www.koosangkoosom.com/pages/ghost_detail.asp?hidID=7

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

สาเหตุที่เจอผี

ถาม : ทำไมบางคนเขาไม่เคยเจอผีเลย บางคนเขาไม่อยากเจอก็เจอล่ะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่จิตหยาบเกินไปก็ห่วยไปเลย จิตหยาบจะรับเขาไม่ได้เลยเพราะของเขาอยู่ในภพภูมิที่ละเอียดกว่าหรือบางคนห่วยแตก เขามาเขาก็ไม่ได้อะไร ส่วนใหญ่เขามาเขามักต้องการส่วนบุญส่วนกุศลจากเรา เพราะฉะนั้นคนที่เจอผีนี่มี ๒ อย่างคือ อย่างแรกมีกรรมเนื่องกันมาเขาก็เลยปรากฏเพื่อให้สงเคราะห์เขา อีกอย่างหนึ่งทำบุญใหญ่มา เขาอยากได้บุญเขาก็มาปรากฏให้เห็น


ถาม : ก็เหมือนกับว่ามาให้เห็นรัศมีกาย...ว่าคนนี้จะอุทิศบุญให้เขาได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ลักษณะนั้นใครที่เจอผีไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอก ให้ตั้งใจว่ากุศลบารมีอะไรที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ขออุทิศให้กับเธอ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ได้รับความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับด้วยเท่านั้นพอแล้ว


ถาม : แล้วถ้ามาทำร้ายเราล่ะครับ ?
ตอบ : ที่มาทำร้ายนี่ส่วนใหญ่เขามาเพื่อทดสอบกำลังใจ



ถาม : ถ้าเจอแล้วเราหมดสติทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : อ๋อ ! อันนั้นไม่ต้องทำอย่างไร หมอเขาจัดการเอง เราหมดสติแล้วก็แล้วกัน ถ้าหากว่าเป็นผีประเภทที่มาลองกำลังใจ ถ้าเรากลัวมากเขาก็ไป ถ้าหากว่าเราคิดถึงความดีได้เขาก็ไป เขาต้องการแค่นั้นแหละ คือต้องการให้เราเกาะความดีได้ แต่ถ้าเห็นเรากลัวมากเดี๋ยวมีอันเป็นไปเขาก็ไม่อยู่แล้ว


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔



ที่มา :
http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1024

"เทพ" และ "ผี" ที่วัดบวรนิเวศฯ


ผีภายในวัดบวรนิเวศฯ ที่มาปรากฏกายให้พระสงฆ์เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในอดีตนั้นเล่ากันมาว่ามีหลอกกันหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่มักมาปรากฏร่างให้เห็นแล้วก็แวบหายไป หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจจะให้เห็นแต่พระ เณรและเด็กวัดไปเห็นเองโดยบังเอิญก็มี ทำไมที่วัดนี้จึงเป็นต้นตำรับผีที่ร่ำลือกันว่ามีเยอะนัก และที่เห็นกันส่วนมาก ก็มาในรูปของหญิงสาวในชุดไทย และเด็กผมจุกแต่งตัวโบราณ

เหตุที่เป็นเช่นนี้คงเพราะที่แห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ของเจ้านายผู้มีเชื้อสายและขุนนางผู้ใหญ่มาแต่โบราณ เป็นวัดใหญ่ที่สร้างมานานจึงมีเสนาสนะมีพระอุโบสถ วิหาร เจดีย์ หมู่กุฏิพระ พระตำหนักต่าง ๆ และเรือนไทยอันสวยงามมากมาย ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมยุคเก่า สภาพภายในวัดร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มองดูร่มเย็น และสงบเงียบด้วยเหตุนี้ จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีวิญญาณมาอาศัยเยอะ เพราะสถานที่สวยงามและน่าอยู่ ดังนั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี ๆ สาง ๆ" จึงมีตามมาต่าง ๆ นานา


มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นเรื่องของ "ผีสาวโบราณ" ซึ่งท่านเจ้าคุณอมรโมลี (จุนท์ พรหมคตโต) เล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า ในสมัยก่อนยังมี "คณะแดง" ซึ่งเป็นหมู่กุฏิพระเก่าแก่ซึ่งเล่ากันหนาหูว่า "ผีดุ" นัก มีพระเก่า ๆ หลายรูปรวมถึงเด็กวัดที่อาศัยอยู่ในคณะแดง เคยเล่าให้ท่านเจ้าคุณอมรโมลีฟังว่า เคยเห็นผีสาว 3 ตน ที่กุฏิหลังหนึ่งในคณะแดง เป็นกุฏิหลังที่อยู่ติดกับคูน้ำในวัด ผีสาว 3 ตน ที่พระและเด็กวัดเห็นนั้นเล่าตรงกันว่า แต่งตัวแบบโบราณคือนุ่งผ้าซิ่น ห่มผ้าสไบเฉียง แต่งตัวคล้ายกัน
เวลามาปรากฏตัวค่อนข้างจะพิสดารคือ ทั้ง 3 ตน จะชอบไต่อยู่บนเพดานกุฏิ เวลาลงมาบนพื้นเธอทั้ง 3 จะค่อย ๆ ไต่จากเพดานลงมา และยังชอบมานั่งเล่นแถว ๆ ระเบียงกุฏิโดยไม่สนใจว่าจะมีคนมาเห็นหรือไม่ และดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรที่พวกเธอชอบทำอยู่เป็นประจำหรือบางทีราว ๆ โพล้เพล้ใกล้ค่ำ ผีสาวทั้ง 3 ก็ชอบที่จะไปนั่งที่กุฏิใกล้ต้นประดู่ของคณะแดง แถมบางวันอาจมีเด็กผมจุกปักปิ่นน่ารักในชุดไทยมานั่งเล่นอยู่ด้วย ภาพจากมิติวิญญาณเช่นนี้ทั้งพระ เณร และเด็กวัดบวรฯ ในอดีตเห็นกันจนชินตา จึงเล่าสู่กันฟังรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชาววัดบวรฯ


มาในภายหลังคณะแดงได้ถูกรื้อลงโดยคำสั่งของเจ้าพระคุณสมเด็จเจ้าอาวาสในยุคนั้นเพื่อสร้างอาคารใหญ่ ภปร. แทนที่ แต่ก่อนที่จะรื้อ ทางวัดก็ได้ทำพิธีบวงสรวง อัญเชิญวิญญาณเจ้าที่เจ้าทางที่กุฏิคณะแดง และที่ต้นประดู่ไปอยู่ที่อื่นก่อน เพื่อความสงบเรียบร้อยระหว่างก่อสร้าง จนเมื่ออาคาร ภปร.แล้วเสร็จก็ดูเหมือนเรื่องวิญญาณผีสาวโบราณ 3 ตน และเด็กผมจุกก็จะเงียบ ๆ ลงไป คาดว่าคงจะไปหาที่อยู่ใหม่ได้แล้วหรือไม่ป่านนี้พวกเธอคงจะไปเกิดใหม่ที่ไหนซักแห่งแล้วก็ได้


เรื่องต่อมานั้นเกิดขึ้นกับพระภิกษุชาวต่างชาติที่เข้ามาบวชและปฏิบัติธรรมภายในวัดบวรฯ ในราวปี พ.ศ. 2517 - 2518

พระภิกษุรายนี้ชื่อ ยอร์ช เป็นชาวอังกฤษ ท่านชื่นชอบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และเคยออกธุดงค์ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์สายกรรมฐานทางภาคอีสานมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และหากกลับจากธุดงค์ท่านจะมาพักที่วัดบวรฯอยู่เป็นประจำ โดยทางวัดจะจัดกุฏิที่ "คณะสูง" ซึ่งเป็นกุฏิ 2 ชั้น เอาไว้สำหรับพระชาวต่างชาติที่มาขอบวชพัก

และที่คณะสูงนี้เองเล่ากันว่า พระภิกษุยอร์ชท่านเจอดีอยู่เป็นประจำ นั่นคือวันดีคืนดีก็จะได้ยินเสียงหวีดร้องเป็นเสียงสูงตรงหน้ากุฏิอยู่บ่อยครั้ง แต่ความที่ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติมานาน จึงเห็นเรื่องผี และวิญญาณเป็นของธรรมดา ท่านจึงไม่กลัว

พอได้ยินก็จะเปิดประตูออกมาดู จึงได้เห็นเป็นเงาคนดำ ๆ อยู่บนเฉลียงตึก แล้วพอท่านเดินไปดูใกล้ ๆ ร่างนั้นก็กลับกลายเป็นโครงกระดูกทั้งร่าง พระภิกษุยอร์ชพอเห็นเช่นนั้นท่านกลับขำ จึงหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้โครงกระดูกนั้นค่อยเลือนหายไป คล้ายกับมาปรากฏร่างให้ท่านปลง ซึ่งพระภิกษุยอร์ชก็ได้ขอให้มาปรากฏเช่นนี้ทุกคืน คืนหนึ่งก็มาให้นานสักหน่อย เพื่อท่านจะได้เพ่งพิจารณา ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามแนวทางของพระสายวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็จะแบ่งส่วนบุญส่วนกุศลให้จะได้พ้นจากการเป็นเปรต แต่คงเพราะความที่ท่านหัวเราะเสียก่อน เปรตตนนั้นจึงไม่เคยมาปรากฏกาย แสดงร่างเป็นโครงกระดูกให้ท่านเห็นอีกเลย

วัดบวรฯ ในยุคสมัยต่อมา เรื่องของผีโอปปาติกะ หรือวิญญาณทั้งหลายที่เคยปรากฏให้พระรุ่นเก่า ๆ เห็นก็คงเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากต่อๆกันมา กลิ่นไอของความเขย่าขวัญในเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังจึงดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะวิญญาณหรือ "ผี" ทั้งหลาย ที่มาปรากฏตัวให้เห็นนั้นไม่เคยให้โทษหรือทำร้ายใคร "ผี" ก็อยู่ในภูมิของ "ผี" ซึ่งอาจจะซ้อนอยู่ในภูมิเดียวกับมนุษย์ในบางสถานที่และบางเวลา

ที่มา
http://board.palungjit.com/

ถ่ายติดหน้าหญิง คอหวยตะลึง เจ้าแม่ตะเคียน

ถ่ายติดหน้าหญิง คอหวยตะลึง เจ้าแม่ตะเคียน

ชาวบ้านนับพันจากทั่วสารทิศในภาคอีสาน แห่ ขอหวยเจ้าแม่ตะเคียน หวังดลบันดาลโชคลาภ อัศจรรย์ บางรายถ่ายภาพพบมีใบหน้าคล้ายหญิงสาวปรากฏ...

ภายหลังหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นำเสนอข่าว พบต้นตะเคียนยักษ์อายุกว่า 200 ปี ในบึงบัวใหญ่ แห่ขอโชคลาภ ต้นตะเคียนยักษ์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.85 เมตร ยาว 12 เมตร อายุกว่า 200 ปี ขุดพบในบึงบัวใหญ่
หลังจากที่มีชาวบ้านหลายรายฝันเห็นหญิงสาวแต่งชุดไทยโบราณ บอกว่า ให้ช่วยนำแม่ขึ้นจากน้ำด้วย แม่จะให้โชคลาภ จนทำให้มีประชาชนแห่เดินทางจากทั่วทุกสารทิศ แห่นำดอกไม้ ธูปเทียนไปกราบไหว้และนำแป้งมาลูบหาตัวเลขที่ต้นตะเคียน เพื่อขอเลขเด็ดไปแทงหวยหุ้น จนปรากฏว่าถูกหวยรวยกันเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้า ที่ผ่านมา ได้มีการขุดพบต้นตะเคียนอีก 3 ต้นและเหง้าของต้นตะเคียนขนาดใหญ่อีก 3 เหง้า ทำให้มีชาวบ้านแห่ขอหวยกันทั้งวันทั้งคืนจนถนนสายบัวใหญ่-โนนตาเถรแน่นขนัด ทำให้รถติดขัดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บัวใหญ่และ อปพร.ของเทศบาลเมืองบัวใหญ่ ต้องมารักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร โดยผู้ที่เข้ามาแสวงโชค บางคนได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปต้นตะเคียน เพื่อส่งให้เพื่อนๆ ช่วยกันหาเลขเด็ดด้วย

โดย นางอุไร เขียวเนตร อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/1 ถ.โคกสูง 8 อ.บัวใหญ่ เปิดเผยว่าตนถ่ายรูปต้นตะเคียนเพื่อเก็บไว้ดูปรากฏ รูปต้นตะเคียนมีใบหน้าคนอยู่ในรูปด้วยทำให้ถึงกับขนลูกซู่ เมื่อตนถ่ายอีกหลายรูปก็มีใบหน้าคนเช่นเดิม แม้จะเปลี่ยนมุมก็ตาม

ด้านนางวชิรา อาจนคร อายุ 56 ปี เป็นครูสอนอยู่โรงเรียนอนุบาลเทพสถิต อยู่บ้านเลขที่ 325/1 หมู่ 1 ต.วะตะแบก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปต้นตะเคียนก็มีใบหน้าคนติดอยู่เช่นกัน ถึงกับตะลึงไม่เชื่อสายตาตัวเองเป็นปาฏิหาริย์อะไรเช่นนี้





ไทยรัฐออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553

ผีกระโดดหน้าผา



ผีกระโดดหน้าผา



สลบเจอวิญญาณ





กดติดวิญญาณ

หินผีสิง



ภาพปริศนา ในงานศพยอดรัก



กระสือ


หินผีสิง

เรื่องจริงผ่านจอ กดติดวิญญาณ



ผีข้ามถนน



ผีในบ้าน



เรื่องจริงผ่านจอ กดติดวิญญาณ

ผีใน youtube



ผีในลิฟท์





ผีในงานเลี้ยง



ผีในสถานการณ์ต่างๆ

10 สุุดยอดผีดุจากทั่วโลก

10 สุุดยอดผีดุจากทั่วโลก

อันดับ 10 ปรากฏการณ์แม่มดเบลล์ (The bell witch)



ที่ตั้ง เมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา
ในปี ค.ศ.1817 สถานที่แห่งนี้ ขึ้นชื่อปรากฏการณ์หลอนที่มีชื่อที่สุดในอเมริกา ผู้คนทุกสารทิศพากันหลั่งไหลมาชม รวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังทุกคนได้เห็นกันทั่วหน้า ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์ เธอเจ็บแค้นมากเมื่อครอบครัวนี้โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตาย เธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีฉันจะให้ดู และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวของแตกกระจาย เข็มทิ่มตามร่างกาย นมหกเลอะเทอะ ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยอง แกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตาย ผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ หัวเราะร้องเพลง อย่างเริงร่า และดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้าย ออกจากงานฝังศพ
แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็น ปรากฏการณ์แปลกๆ ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์



อันดับ 9 ผีที่บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์สแควร์ (50 Berkeley Square)



สถานที่ตั้ง บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์ สแควร์ กรุงลอนดอน
ผีที่นี่ดุจริงๆ เพราะมันทำให้เหยื่อเคราะห์ร้ายต้องสังเวยให้กับมัน แม้ไม่มีใครทราบที่มาแต่หลายคน ต่างโดนมันฆ่า ถ้าใครก็ตามที่มานอนพักบ้านร้าง หลังนั้น เช่นในปี 1887 กะลาสีสองคนชื่อเอ็ดเวิร์ด บลันเดนและโรเบิร์ต มาร์ติน ได้อาศัย บ้านหลังนี้พักชั่วคราว และต่อมากลางคืนบลันเดนก็พบเห็นผี และสู้กับมัน ส่วนมาร์ตินหนีออกมาเพื่อแจ้งตำรวจ และเมื่อกลับมา ก็พบบลันเดน ตายอยู่บันไดชั้นล่างในสภาพคอหัก ดวงตาเบิกโพลง นอกจากนั้น จอร์จ แคนนิ่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็โดนด้วย และเสียชีวิตในปี 1827
ปัจจุบันคนละแวกแถวนั้น มักตกใจเสียงทุบ และเสียงกระแทกปึงปังในบางคืน



อันดับ8 บ้านอมิตี้วิลล์ (Amityville House)



สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกา

บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุไปในบัดดล โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี ของครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้ และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ นอกจากนั้น ไม่ว่า ใครหน้าไหนเอาเรื่องนี้มาแต่งเป็นนิยาย หรือทำเป็นหนังจะโดนคำสาป เห็นได้จาก เคยมีคนนำเรื่องอมิตี้วิลล์มาสร้างหนัง ปรากฏว่าหลายคนในกอง ถ่ายต่างประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็น ปรากฏการณ์ลึกลับ เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือแม้กระทั่งตายอย่างลึกลับ (ปัจจุบันเราสามารถหาดู เรื่องนี้จากหนังเรื่องผีทวงบ้านครับ) ระวังจะโดนคำสาบ!!



อันดับ 7 เดอะ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (Flying Dutchman)



สถานที่พบเจอ แหลม Good Hope ฮอลแลนด์ และท้องทะเลทั่วโลก (ไทยก็เคยเจอ)
เป็นเรือปีศาจที่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ ในทั่วโลกมาแล้วหลายร้อยปี เดิมคือ เรือ Flying Ducthman เป็นของกัปตัน Van Der Decken ที่นิสัยไม่ดี โดยเขาหายสาปสูญที่แหลม Good Hope ก่อนหายได้ตะโกนขึ้นว่า "ข้าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่แหลมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือ จนถึงวาระสุดท้ายของโลกก็ตาม" และนับจากนั้นเป็นต้นมา ผู้คนทั่วโลกก็พบเรือปีศาจแบบนี้ และว่ากันว่าเรือใด ที่เห็นเรือปีศาจนี้จะต้องรับความพินาศ โดยในปี 1881 คนประจำเรือเจ้าชายจอร์จที่ 5 เห็นเรือนี้ จากนั้นไม่นาน เขาก็พลัดตกเสากระโดงเรือตาย.... ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน ยังคงรอนแรมอยู่เดียวดาย กลางทะเล ด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศก และสยดสยอง ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัย ตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากร ที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander



อันดับ 6 วิญญาณที่โบลถ์บอร์ลีย์ (Borley Rectory)



สถานที่พบเจอ กรุงลอนดอนทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 ไมล์ แถบชานเมืองเอสเซกซ์ (ปัจจุบันโดนทุบทิ้งแล้ว)
เมื่อปี ค.ศ.1362
นักบวชนิกายเบเนดิกทีน และแม่ชีจากสำนักชีในละแวกนั้น ถูกพ่อมดหมอผี และชาวบ้านที่งมงาย จับสองคนไปฆ่า โดยนักบวชถูกแขวนคอ ส่วนแม่ชีถูกฝังทั้งเป็น ภายในผนังของสำนักชี ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นโบสถ์แห่งบอร์เลย์ในปี 1863 และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาด ก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินที่ขว้างไปโดยไม่รู้ที่มา รอยเท้าประหลาด เสียง และภาพหลอน ขนาดปรากฏตัวในตอนกลางวันแสกๆ เลยก็มี
โดยปี 1929 เธอปรากฏตัวถี่ขึ้น และเริ่มเห็นเต็มตัว โดยในลักษณะแต่งกายเป็นชี และท่าทางใบหน้าเศร้าหมอง ร้องขอให้มี ผู้พบศพเธอเพื่อประกอบ พิธีทางศาสนา และมีผู้ถ่ายรูปเธอออกมาเพียบ จนกระทั่งคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ก็เกิดเพลิงไหม้ ตอนเที่ยงคืน และเผาโบสถ์จนเหลือเพียง ซากและโบสถ์ก็โดนทุบทิ้ง จนผีไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย



อันดับ 5 วิญญาณสีชาด



สถานที่พบเจอ ฝรั่งเศส ??? กษัตริย์เฮนรีที่ 4
วิญญาณสีชาดตนนี้ไม่มีที่มา แต่มันสำแดงตนเสมอในช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ของฝรั่งเศส เป็นร่างของชายสูงใหญ่ ใส่เสื้อคลุมสีชาด มีเครายาวสีชาด เช่นกัน
ร่างนี้ไปปรากฏต่อพระพักตร์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในคืนที 13 พฤษภาคม 1610 ในห้องพระบรรทม ของกษัตริย์เฮนรีเลยทีเดียว แล้วมันก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า "พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตาย" พระองค์ตกใจมาก และรีบเรียกตัวขุนนางผู้ใหญ่ มาหารือเพื่อหาทางแก้ไข และอีก 12 ชั่วโมงต่อมา เฮนรีก็ถูกผลักตกจากบัลลังก์จริง ตามคำพยากรณ์ เพราะฟรองซัวราวิลแย็ค ทำการรัฐประหาร นอกจากนี้วิญญาณตัวนี้ยังสำแดงตนให้นโปเลียน โปนา ปาร์ตเห็นถึง 4 ครั้ง และครั้งที่ 4 คือ คืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 ก็เป็นวันตายของนโปเลียนนั้นเอง



อันดับ 4 ผีชุดขาวแห่งเบอร์ลิน (Ghost White of The Berlin)



สถานที่พบเจอ เยอรมัน ฝรั่งเศส ??
ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของอันนา ซิโดว์ ภรรยาลับของกษัตริย์โจอาคิมที่ 2 ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกจับขังจนถึงแก่กรรม ซึ่งใครก็ตามที่ได้เห็นวิญญาณ หญิงสีขาวเมื่อไหร่คนในราชวงศ์นั้นจะประสบเคราะห์กรรม เช่นปี 1619 มหาดเล็กของกษัตริย์จอร์น ซิกมุนด์ เห็นร่างสีขาวก่อนที่จะตายโดยอุบัติเหตุ จากนั้นกษัตริย์จอห์น ซิกมุนด์ก็สวรรคต, นอกจากนั้นกษัตริย์หลายพระองค์ ก็เห็นวิญญาณนี้ปรากฏที่รัสเซีย ปารีส และครั้งสุดท้ายที่ปรากฏคือวันที่ 29 เมษายน 1945 ซึ่งเป็นวันล่มสลายของนาซีเยอรมัน ที่เบอร์ลินพอดี!!



อันดับ 3 วิญญาณที่เรือควีนแมรี่ (Queen Mary)



สถานที่พบเจอ เรือควีนแมรี่(ปัจจุบันถูกจอดไว้ที่เมืองลองบีช โดยดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม)
ควีนแมรี่เป็นเรือใหญ่มากลำหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ เคยถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกปลดระวางในปี 1967 เพื่อนำไปทำโรงแรม ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าถ้าใครตายในเรือแมรี่มีอันต้องเป็นผีเฝ้าเรือทุกตน โดยมีผู้พบเห็นผีนี้ตามจุดทั่วเรือ ในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าที่เปียกน้ำ เด็กน้อยตามหาแม่ และหายตัวไปต่อหน้า สตรีในชุดราตรีโบราณ ฯลฯ



อันดับ 2 วิญญาณของพระนางแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard)



สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แม้พระนางจะโดนสำเร็จโทษหลังอภิเษกกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ได้เพียง 8 เดือน ไปตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1542 แล้วก็ตาม ระเบียงของพระราชวัง แฮมตัน คอร์ท พาเลสทุกวันนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนในยามดึกเสมอ นอกจากนี้ยังสิงสู่อยู่ที่อีธอร์น มาเนอร์ ฮอลลิงบอร์น เค้นท์อีกด้วย



อันดับ 1 วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn the headless Queen)



สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ (รูปถ่ายนี้ถูกถ่ายในธันวาคม ที่ศาล Hampton ใกล้ลอนดอน)
พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นี้ช่างเป็นต้นเหตุสร้างเรื่องสยองจริงๆ เมื่อพระนางแอนน์ โบลีนพระมเหสีองค์ที่สองถูกสำเร็จโทษ 19 พฤษภาคม ปี 1536 โดยก่อน ตายนางกล่าวว่า "โอ้ ความตาย นำข้าให้หลับใหล พาข้าให้พักอย่างเงียบสงัด นำข้าไปสู่ผี.. ที่สุดแสนจะเงียบงัน ออกไปจากอกของข้าที่ห่วงหา อาทร ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวาน"
ว่ากันว่าวิญญาณของพระนางจะกลับมาที่ บลิคลิง ฮอลล์ ในนอร์ฟอล์ค ในวันครบรอบที่พระนางถูกสำเร็จโทษ ซึ่งสถานที่แห่งนั้น พระนางเคยใช้ชีวิตในวัยเยาว์ที่นั้นเลยผูกพันเป็นพิเศษ ซึ่งมีรายงานปรากฏวิญญาณของพระนาง ไปยังสถานที่ ประสูติไม่ว่างเว้น โดยผู้คนมักเห็นร่างของหญิงสูง ศักดิ์ปราศจากศีรษะ นั่งอยู่ในรถม้าที่ลากโดยม้าที่ปราศจากหัวสี่ตัว และคนขับ ซึ่งไม่มีหัวเช่นกัน รถม้าจะวิ่งช้าๆ ไปยังอาคารโบราณที่บลิงตันและ หายลับไปยังประตูหน้า นอกจากนี้พระนางยังปรากฏ อยู่ที่หอคอย แห่งลอนดอนอีกด้วย โดยผู้ใดที่อยู่ตรงข้ามพระนางจะพลอยได้พบหายนะไปด้วย เสียสิ้น โดยใครพบเจอคนนั้น อาจหัวใจวายตายในเวลาไม่นาน ไม่ก็เสียสติ




ที่มา:
http://brightlives.th.88db.com/index.htm

เวตาล

เวตาล
เวตาลเป็นอสูรกายที่มีหน้าตาหน้ากลัวมีปีกเหมือนค้างคาว ชอบสิ่งอยู่ในที่มืดและตามป่าช้าว่ากันว่านักปราชญ์บัณฑิตที่มีวิชาความรู้แต่งกหรือหวงไว้ไม่ยอมถ่ายทอดสั่งสอนคนอื่น เมื่อตายแล้วจะได้เป็นปีศาจจำพวกเวตาล

ประวัติความเป็นมา
วันหนึ่งมีพ่อค้าจากต่างแดน นำผลไม้มาถวายพระเจ้าวิกลมมาธิตกษัติย์ แห่งเมืองอุชชยินี และผลไม้เหล่านั้น เมื่อผ่าออกภายในจะมีแก้วและทับทิม อันสวยงามมาก พ่อค้าจึงบอกว่า ตนเองเป็นโยคี มีนามว่าศาติศีล กำลังจะทำพิธีกรรมอย่างหนึ่งในป่าช้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวารี โดยเชื่อว่าเมื่อทำพิธีนี้สำเร็จแล้ว ตนจะได้เป็นใหญ่ในโลก ในป่าช้าแห่งนั้น มีอสูรตนหนึ่งชื่อว่าเวตาล โยคีขอให้พระเจ้าวิกลมมาธิต ไปนำมาให้เพื่อใช้ ในการประกอบพิธีกรรมแต่มีข้อแม้ว่าเวลาไปนำมานั้น ห้ามส่งเสียงใดเป็นอันขาดไม่เช่นนั้นมัน จะกลับไปยังที่เดิมและจะต้องกลับ ไปนำตัวกลับมาใหม่ เวตาลเป็นอสูรกายนักเล่านิทานขณะที่เจ้าวิกลมมาธิตนำตนไปให้แก่ โยคีเจ้าเวตาลก็จะเล่า นิทานปริศนาไปตลอดทางแล้วทิ้งปมไว้ตอนท้าย พระเจ้าวิกลมมาธิตตอบปริศนา 9 เรื่อง พอเวตาลเล่าเรื่องที่ 10 พระองค์ และพระราชบุตรไม่ยอมตอบปริศนาจึงสามารถนำไปให้โยคีได้สำเร็จ

ลักษณะของเวตาล
ลูกในตาเป็นสีเขียวเรือง ๆ ผมและหน้าสีน้ำตาล ตัวผอมเห็นซี่โครง เอาหัวห้อยลงมาเหมือน ค้างคาว เมื่อจับถูกตัวก็เย็นชืดเหนียว ๆ คล้ายงู เหมือนกับไม่มีชีวิตแต่หางซึ่งเหมือนหางแพะนั้น กลับกระดิกได้

อิทธิฤทธิ์ของเวตาล
เมื่อพระเจ้าวิกลมมาธิตพันกิ่งอโศกขาด เจ้าเวตาลก็ตกลงมาถึงพื้น มันส่งเสียงร้อง อะแว้ อุแว้ เหมือนเด็ก ครั้นพระองค์ตรัสถามว่า เองเป็น ตัวอะไรรับสั่งยังไม่ทันขาดคำ เจ้าเวตาลก็ส่งเสียง หัวเราะและกลับไป ห้อยที่กิ่งอโศกตามเดิม เวตาลยังเป็นนักเล่านิทานที่เก่งโดยเล่าในเวลา ที่เจ้าวิกลมมาธิตและพระราชบุตรกำลังจะพาตัวไปให้โยคีหากพระเจ้าวิกลมมาธิตเผลอตอบเวตาล ก็จะกลับไปที่ต้นอโศกตามเดิม

ที่มา: www.lapee.is.in.th

โดนผีเข้าสิง

โดนผีเข้าสิง

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 ในจังหวัดเพชรบูรณ์ เรื่องมีอยู่ว่าวันนั้นพี่ชายชื่อนาจ ที่เป็นลุกของป้า มีอาการป่วยไม่ค่อยสบาย ลืมบอกชื่อ ผมชื่อ ยงยุทธแล้ววันนั้นเวลาประมาณ 17.30 น. พี่นาจก็มานอนบริเวณชานหน้าบ้าน

ส่วนตัวผมกำลังนั่งอยู่ในบ้านช่วงนั้นผมจะเป็นคนติดพี่เอามากๆพอเค้าจะไปไหนผมก็จะตามไปด้วยตลอดอะครับ แล้วผมก็เห็นพี่นาจวิ่งผ่านหน้าบ้านไป ผมเห็นก็ตะโกนถามไปว่า ไปไหนไปด้วย เค้าก็ไม่ตอบผมก็สงสัยเลยวิ่งไปหน้าบ้าน ผมกำลังจะขับรถตามไปพ่อของพี่นาจเค้าก็ตะโกนมาบอกให้ผมรีบตามไป ตอนนั้นผมก็กำลังงงๆ
แต่ลุงเค้าก็สั่งให้รีบๆตามไป ผมก็ตามไปได้ประมาณ 300 ม.พี่เค้าวิ่งเร็วมากๆ พอตามทันพี่เค้าก็หยุดยืนนิ่ง แล้วหันหน้ามาถามผมว่า มึงตามกูมาทำไม ผมก็ตอบไปว่า อยากตามมีอะไร พอผมพูดเสร็จพี่ที่เป็นญาติกันก็ขับรถมาจอดข้างหลังผมถามว่า ตามทันมั้ย ผมก็ตอบไปว่า ตามทันอยู่ตรงหน้าเนี่ย ผมหันกลับไปชี้พี่เค้าก็ไม่อยู่แล้ว
พอช่วงหลังจากนี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เพราะพวกผู้ใหญ่ไม่ให้ผมตาม ผมได้รู้เรื่องมาจากคนที่เห็นเหตุการณ์ หลังจากที่พี่เค้าหยุดคุยกับผม พี่เค้าก็วิ่งเข้าซอยไปมีเพื่อนของพี่เห็นเค้าทักพี่ก็ไม่ตอบเค้าบอกว่าพี่วิ่งเร็วมากจนเวลาพลบค่ำก็มีคนเห็นเดินอยู่แถวทุ่งนาพวกผู้ใหญ่เค้าก็เข้าไปหา
หายังไงก็ไม่เจอจนเค้านั่งพักกันอยู่นะครับอยู่ดีพี่เค้าก็เดินออกมาจากหลังต้นไม้แล้วก็ล้มไปเลยครับ เค้าก็เลยพากลับมาบ้านเอาน้ำมนต์ให้ดื่มละก็ผูกได้สายสินให้ครับคนเฒ่าคนแก่แถวนั้นเค้าก็บอกว่าเป็นผีนาจะพาไปอยู่ด้วย

พอผ่านไปหลายวันผมก็ได้คุยกับพี่เค้า พี่เค้าก็บอกว่าตอนที่วิ่งไปรู้สึกตัวทุกอย่างแต่ไม่สามารถขยับตัวได้ ตัวเราวิ่งไปเองพอไปถึงที่ๆหนึ่งพี่เค้าบอกไม่รู้จักเดินเข้าไปในป่าเห็นคนยืนเต็มไปหมดมีผู้หญิงผู้ชายกำลังยืนทำอะไรกันก็ไม่รู้
แต่ตัวเค้าไม่ได้เดินเข้าไปดูเพราะได้ยินเสียงคนมาเรียกแล้วก็สลบไปไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่บ้านแล้วเรื่องก็มีอยู่เท่านี้ละครับขอบคุณครับที่รับฟัง

ที่มา:
http://www.tlcthai.com/webboard...

โทรศัพท์สยอง

โทรศัพท์สยอง

เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!

โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย

ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?

วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ

...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง

ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที

"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ

"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง
อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!
"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"


ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ!
"โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."
"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"

โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป

ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย

...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้

โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!

แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้

เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!

คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...

คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้

ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...

ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ

อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!

ที่มา:
http://www.tlcthai.com

คืนเปลี่ยวเรื่องผีๆ สางๆ

คืนเปลี่ยวเรื่องผีๆ สางๆ

สมัยวัยรุ่นผมอยู่วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทองน่ะ พวกเรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าสังกัดบริษัทตาแหก กลางค่ำกลางคืนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ยอมออกจากบ้านเด็ดขาด

ยกเว้นแต่มีงานวัดถึงจะนัดกันไปเที่ยวเตร่ซักที!

บ้านผมมีวัดเยอะแยะเหลือเชื่อ แค่ล่องเรือไปตามลำแม่น้ำน้อยสายเดียวก็เจอะเจอเกิน 10 วัดแล้ว ใครคิดจะไปไหว้พระ 9 วัดในวันเดียวขอเชิญได้เลยครับ

อ้อ! นอกจากจะเป็นเมืองหน้าด่านแล้ว ชาวอ่างทองยังมีอารมณ์ขันเยอะครับ ถึงกับระบุบอกสรรพคุณของทุกๆ อำเภอเอาไว้ครบถ้วน แถมเกร็ดฝอยชวนขำกลิ้งอีกต่างหาก ไม่เชื่อก็ลองอ่านดูซีครับ

"ใครอยากมีเมียให้ไปป่าโมก
ใครอยากมีโชคให้ไปโพธิ์ทอง
ใครอยากมีน้องให้ไปไชโย
ใครอยากเป็นนักเลงโตให้ไปวิเศษชัยชาญ
ใครอยากเป็นสมภารให้ไปแสวงหา
ใครอยากกินผักกินปลาให้ไปสามโก้
ใครอยากคุยโม้ให้ไปอำเภอเมือง"

ไม่ต้องอธิบายรายละเอียดก็คิดว่าคงเข้าใจกันดีนะครับ ยกเว้นแต่ "อำเภอเมือง" ต้องบอกกล่าวนิดหน่อยเพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพ ว่าเขาคุยโม้กันชนิดฮาแตกปานใด

"บ้านข้าปลาชุมมาก ถ้าจะทอดแหต้องแหวกปลาเสียก่อน ถึงจะลงแหได้"
"เอาเกล็ดปลาตะเพียนเป็นกระเบื้องมุงหลังคา คิดซิว่าปลาตัวมหึมาปานใด"
เอาละครับ โหมโรงกันพอหอมปากหอมคอ ขืนติดลมมากกว่านี้เดี๋ยวก็ไม่ได้เล่าเรื่องขนหัวลุกกันพอดี!

คืนนั้นที่วัดใกล้บ้านมีหนังกลางแปลงในงานศพของตาเทียน ฐานะเศรษฐีประจำตำบล ชาวบ้านร้านช่องก็อุ้มลูกจูงหลานไปดูหนังกันคึ่กๆ หนุ่มสาวควงคู่จู๋จี๋กันน่าอิจฉา พวกไอ้หนุ่มตึงตัวก็เร่เข้าไปเกี้ยวพาราสี แทะโลมกันดื้อๆ ตามประสาลูกทุ่ง มีทั้งสำเร็จกับล้มเหลวเป็นของธรรมดา พวกรถเข็นแผงลอยขายของกินของเล่นติดไฟสว่างไสว

พอถึงเวลาฉายหนัง คนนั่งดูกันหัวดำ พวกหนุ่มๆ สาวๆ มักจะยืนอยู่ด้านนอก...แม้ว่าจะเป็นหนังบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน สนุกสนานหายห่วง แต่พวกหนุ่มสาวกับวัยรุ่นไม่ค่อยสนใจ มัวแต่ขายขนมจีบกันเพลิดเพลินน่ะซีครับ

ผมกับเพื่อนๆ มีเจ้าแหวง เจ้าเบิ้ม เจ้าน้อย ยังหนุ่มไม่ตึงตัวเลยมองดูรุ่นพี่เขาอี๋อ๋อกันมั่ง ดูหนังมั่ง แหม! สองเรื่องเต็มๆ นั่นแน่ะ น้าบัติเล่นเป็นพระเอกเชิดชิ่งกับผู้ร้ายเป็นโขยง ลงท้ายเหล่าร้ายก็หมอบกระแตตามฟอร์ม

หนังจบ งานเลิก ผู้คนทยอยกันกลับบ้าน แต่บ้างก็ยังอ้อยอิ่งซื้อผัดไทย ซื้อขนมไปฝากทางบ้าน แต่พวกเราไม่สน...เดินออกหลังวัดที่มืดครึ้มด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ พูดคุยกันถึงเรื่องหนังที่เพิ่งดูมาหยกๆ ครู่เดียวก็มองเห็นหลังคาบ้านอยู่ในแสงจันทร์ข้างแรมอยู่ไกลๆ

อ้าว? ใครกำลังเดินเหย่าๆ อยู่ข้างหน้า?

ผู้ชายผอมสูง ผมยาวปรกท้ายทอย นุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อคอกลม...เราไม่สนใจอะไรหรอกครับ คิดว่าเป็นคนที่มาดูหนังแล้วกลับบ้านก่อนเราเท่านั้นเอง

เสียงยอดไม้ไหวซ่าอยู่เหนือหัว ตามด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากเบื้องหลัง หันไปดูแวบเดียวก็เห็นคนเดินตามมาเป็นกลุ่มใหญ่...จนกระทั่งผ่านมะม่วงป่าต้นใหญ่สะบัดใบเกรียวกราว ราวกับมีใครขึ้นไปขย่มอยู่ข้างบน ทำให้เราเงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆ กัน แต่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดครึ้ม

ทางเดินคดเคี้ยวนิดหน่อย แม่ม่ายลองไนพร่ำเพรียกมาเข้าหู แต่จู่ๆ ก็หายเงียบไป

พวกเราชักจะเงียบเสียงลง ร่างผอมๆ ที่เดินนำหน้าก็คล้ายจะทอดน่องจนเราเดินใกล้เข้ามาทุกที...และแล้วแกก็หันขวับมามองเราพร้อมกับยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกจดใบหู

"ตาเทียน!!" เสียงเพื่อนๆ ร้องลั่น แต่ผมรู้สึกเลือดหายวูบไปจากใบหน้า ต้นคอเย็นเฉียบก่อนจะแล่นวาบไปตามไขสันหลัง จำได้ว่าพวกเราผงะหน้า ตาเหลือกลาน ร่างนั้นหันหน้ากลับ เดินเหย่าๆ จนหายลับไปต่อหน้าต่อตา...ไม่ขาดใจตายคาที่ก็เป็นบุญแล้วครับ! บรื๋อออ



ที่มา:
http://www.tlcthai.com/webboard...

คณะแพทย์ศาสตร์

คณะแพทย์ศาสตร์

เรื่องพยาบาลในชุดแดงของคณะแพทย์ฯ ม.ช เล่าว่ามีนักศึกษาชายคนหนึ่งของคณะแพทย์ฯ ทำงานในตึกของฝั่งสวนดอก (ไม่แน่ใจว่าเป็นโรงพยาบาล หรือตึกแพทย์ คนเล่าไม่ยืนยัน แต่ 2 ตึกนี้ก็ใกล้กัน) เขาคนนี้ก็ทำงานอยู่จนดึก เสร็จจากงานก็เลยว่าจะลงลิฟต์มา ระหว่างที่รอ เขาก็ได้ยินเสียงเดินมาข้างๆ หันไปมอง เห็นพยาบาลคนนึงเดินมาก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะพยาบาลกับแพทย์ก็ต้องเจอกันบ่อยๆอยู่แล้ว ระหว่างรอลิฟต์ นักศึกษาคนนี้ก็ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ เลยหันไปมองพยาบาลคนนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร ซ้ำพยาบาลคนนี้ยังยิ้มให้ด้วย สักพักต่อมาเมื่อเข้าไปในลิฟต์แล้ว พยาบาลคนนี้ก็ถามว่า " มาทำอะไรดึกๆ อย่างนี้ " เขาเลยตอบว่า " มาศึกษาเรื่องการผ่าตัดภายใน เพราะว่าจะสอบ " พยาบาลคนนี้เลยบอกว่า " งั้นให้ฉันช่วยนะ " นักศึกษาคนนี้ก็เลยงง และเริ่มสังเกตว่า ที่คอของพยาบาลสาวเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากคอเรื่อยๆ เขาตกใจมาก และพยายามที่จะหนีออกมาจากลิฟต์ แต่ลิฟต์เหมือนค้าง หรืออะไรไม่ทราบได้ เลือดยังไหลนองไปทั่วชุดของนางพยาบาลคนนี้ แล้วเธอก็เริ่มสอนนักศึกษาแพทย์คนนี้ ตั้งแต่ลำไส้ ปอด สมอง หัวใจ พร้อมทั้ง ควักส่วนต่างๆ เหล่านี้ออกมา

รุ่งขึ้นมีคนพบนักศึกษาชายคนนี้นอนอยู่ที่ประตูลิฟต์ ซึ่งเปิดคาอยู่ แล้วเขาก็เอาแต่พร่ำเพ้ออย่างคนบ้าว่า ” พยาบาลชุดแดง พยาบาลชุดแดง ”



ที่มา:
http://www.tlcthai.com

เหรียญผีสิง

เหรียญผีสิง

ผมมีลูกสาวคนเดียว คือ น้องเอื้อง แกเป็นสุดสวาทขาดใจของคนทั้งบ้าน ตอนนี้อายุ 4 ขวบกว่า อยู่อนุบาลสองครับ ผมวางแผนชีวิตสำหรับลูกคนนี้ เพื่อให้แกเติบโตอย่างเข้มแข็ง และนั่นอาจจะเป็นต้นเหตุของขนหัวลุกเรื่องนี้ก็ได้

มันเริ่มตั้งแต่ตอนผมหมั้นกับอ้อย และร่วมทุนกันปลูกเรือนหอของเรา ผมคิดไว้เลยว่าจะมีลูกไม่เกินสองคนชั้นบนของเราจึงมีห้องนอนสามห้อง แต่ละห้องมีห้องน้ำในตัวเสร็จ ห้องตรงกลางน่ะของผมกับภรรยา อีกสองห้องนั้น...แน่ละ! เตรียมไว้สำหรับเป็นส่วนตัวของลูก และผมยังยึดตำราฝรั่ง คือให้ลูกนอนคนเดียวตั้งแต่เกิด แต่ประตูห้องเปิดถึงลูกได้ทั้งสองด้าน

ต้องขอบอกตรงๆ ว่าแผนนี้เกือบไม่สำเร็จแน่ะครับ มันยากมาก โดยเฉพาะอ้อยแทบไม่ยอมวางมือจากลูกเลย แต่ในที่สุดเราก็ทำได้ครับ

น้องเอื้องนอนคนเดียวได้สบายมาก ดับไฟมืดเลยด้วย ไม่ต้องเปิดไฟหัวเตียง ขอแต่เพียงแง้มประตูพ่อกับแม่ไว้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง และขอให้เล่านิทานก่อนนอนกับหอมแก้มบอกกู๊ดไนต์ ฝันดีทุกคืน ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง พายุพัดตึงตังแค่ไหนเอื้องก็นอนได้ ไม่เคยลุกมาขอนอนกับพ่อแม่เลย เก่งจริงๆ ลูกผม

แต่แล้วคืนหนึ่งเมื่อเดือนก่อน ตอนกลางดึกผมตื่นเพราะเอื้องมาจับแขนเขย่าเบาๆ

"พ่อคะ ขอเอื้องนอนด้วยนะ ที่ห้องเอื้องมีใครไม่รู้จะขึ้นมานอนเบียดเอื้องเรื่อยเลย"

"ฝันร้ายมั้งลูก?" ผมบอกแล้วลุกขึ้นพาลูกกลับไปที่ห้อง เปิดไฟหัวเตียง ทุกอย่างดูปกติดี เอื้องขยี้ตา ทำท่างัวเงียแล้วออดอ้อน...แกบอกว่าใครคนนั้นผลักแกตกเตียงจนนอนไม่ได้ ผมไม่อยากใจอ่อนหรอกครับ เพราะเมื่อมีครั้งแรกมันก็ต้องมีครั้งต่อไป แต่มองนาฬิกามันตีสองครึ่งแล‰ว ผมเองก็ง่วงเหมือนกัน

ขืนเถียงกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมเลยเอาแกมานอนตรงกลาง อ้อยดีใจกว่าลูกอีก นอนกอดนอนหอมลูกจนหลับสนิทไปทั้งคู่

คืนต่อมา ผมว่าแล้ว เดาอะไรไม่ผิดเลย! เอื้องมาปลุกผมเวลาเดิมเลยครับ บอกว่าใครคนนั้นมากวนแกอีกแล้ว

"เขาเป็นผู้ชาย มาทำหน้าตาน่ากลัวไล่เอื้องลงจากเตียง" แกพูดซื่อๆ ผมเห็นว่า นั่นคือจินตนาการของเด็กน้อย ซึ่งผมจะยอมต่อไปไม่ได้ ต้องแก้ไขด่วน

"เอางี้นะ" ผมเล่นแง่จิตวิทยา "พ่อจะไปไล่เขาเอง ถ้าพ่อไล่เขาไปแล้วเอื้องจะนอนคนเดียวได้มั้ยลูก?" เอื้องพยักหน้ารับอย่างดีใจ

คืนนั้นผมไปนอนเตียงของลูก ไม่ต้องห่วงครับ เตียงนี้ผมซื้อเผื่อลูกโตเลยละ เป็นเตียงเดี่ยวที่ผู้ใหญ่นอนได้สบายๆ ผมไม่ได้คิดอะไรมาก แค่พรุ่งนี้เช้าก็จะบอกลูกว่าพ่อไล่เขาเตลิดเปิดเปิงไปแล้วล่ะ! แค่นี้ก็เรียบร้อย...แต่มันไม่อย่างนั้นน่ะซีครับ!

ก่อนตีสองเล็กน้อย ผมตื่นขึ้นมา ไม่รู้ด้วยซ้ำอะไรทำให้ตื่น แต่ก็ดีเหมือนกัน ลุกเข้าห้องน้ำซะหน่อยแล้วกลับมานอนต่อ.....ผมเข้าห้องน้ำโดยไม่เปิดไฟ อาศัยความคุ้นชิน

ขณะที่มาถึงเตียง ล้มตัวลงหนุนหมอน หางตาผมเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด ผมเลยหันไปมองตรงๆ

มันเป็นแสงหม่นๆ รางๆ มัวซัวสีออกเขียวๆ เหมือนพรายน้ำดวงเท่าฝ่ามือเคลื่อนไหวอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าเหมือนมีชีวิต ตอนแรกผมนึกว่าตาฝาด แต่ไม่ใช่แฮะ รีบลุกขึ้นนั่งจ้องมองมันพักใหญ่ แล้วก็ต้องขนหัวลุกซู่...

ภายในแสงนั้นเป็นใบหน้าผู้ชายแก่ๆ เหมือนคนจีน โบราณ ไว้เปียและเป็นใบหน้าที่ดุดัน มุ่งร้ายหมายขวัญมาก

"ออกไปนะ" ผมคำรามเบาๆ ทั้งตกใจทั้งกลัว แต่นี่มันห้องลูกสาวผมนะ! เอื้องพูดถูก แกไม่ได้ออดอ้อนหรือจินตนาการ ผมตั้งสติได้ รู้สึกโกรธเกรี้ยวมากกว่าหวาดกลัวซะอีก นี่ถ้าเป็นที่อื่นอย่างโรงแรมหรือบ้านเช่าผมต‰องเผ่นแน่...แต่นี่บ้านผมครับ!

ใบหน้ามีแสงหม่นๆ นั่นพุ่งเข้าใส่ผม ส่วนผมก็พุ่งหมัดสวนออกไป กำปั้นวืดผ่านสิ่งที่เย็นชืดน่าขยะแขยง...เหลือเชื่อ! ผมชกถูกมันอย่างจัง อย่าถามเลยครับว่าเป็นไปได้ยังไง ผมเองก็งงๆ แต่คิดว่าคงเป็นพลังจิตผมแกร่งกว่ามัน ผมเห็นมันบิดเบี้ยว แสดงอาการพ่ายแพ้..มันกลัว และหายไปทางหน้าต่าง

ผมรู้สึกว่าห้องโล่งเบาและสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาทันที...มันไปแล‰ว!

เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเพื่อนของอ้อยชอบสะสมเหรียญและของโบราณ ก็เลยเอาของเก่าของคุณตาที่เพิ่งเสียมาให้ หนึ่งในนั้นเป็นเบี้ยจีนโบราณ วิญญาณร้ายคงมากับสิ่งนี้แน่ ตอนนี้อ้อยคืนเพื่อนไปแล้วหล่ะ...บรื๋อส์!

ที่มา: http://www.tlcthai.com

สุสาน 7 หลุม ความอาถรรพ์ตำนานปริศนา

สุสาน 7 หลุม ความอาถรรพ์ตำนานปริศนา

สุสาน 7 หลุม มีนามการัณตีถึงกิตติศัพท์ความเฮี้ยนอันน่าสะพรึงกลัว กับตำนานอาถรรพ์ที่บัดนี้ยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัด บ้างก็ว่า เป็นครอบครัวเดียวกันโดนฆ่าตาย บางคนก็ว่าเป็นฝรั่ง บางคนก็ว่าเป็นพวกเด็กขายยาเสพติดที่ถูกฆ่าตาย ไม่มีใครรู้อะไรไปมากกว่านี้ และการลองของครั้งแล้วครั้งเล่าของบรรดาผู้กล้าท้าพิสูจน์ แทบทุกครั้งที่ต้องเจอดี บางคนถ้าไม่โชคดีได้เห็นอย่างจะ จะ ก็ถึงกับได้เลือดไปบ้างก็มี..

สุสาน 7 หลุม ทางเข้าจะอยู่แถววิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย จังหวัดขอนแก่น ถ้าตรงมาจากบ.ข.ส. เลยบัณฑิตเอเซียไปจะเป็นสามแยกเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 500เมตร จะข้ามคลองส่งน้ำเลยไปหน่อยจะเจอวัดชื่อวัดไตรประสิทธิ์ สุสาน 7 หลุมจะอยู่หลังวัดนี้แหละครับ


เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของผู้ไปลองของ สุสาน 7 หลุม

เสียงเปรต
ผมเคยไปวัดใจกันกับเพื่อนประมาณ10คน ที่นี่สองครั้ง ครั้งแรกตอนเที่ยงคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ออกมารถหม้อน้ำแตก ครั้งที่สอง ตอนตี1ได้ยินเสียงเปรต ภายในสุสาน 7 หลุม จริง ๆ มี 9 หลุม แต่ละหลุมจะมีไม้หน้าสามปักอยู่บนหลุม ข้างๆสุสานจะมีศาลอยู่ 2 ศาล อยู่ใต้ต้นโพธิ์พวกผมไปก็จะจุดธูป1ดอก บอกขอขมาที่มารบกวนอยากเห็นโปรดออกมาให้เห็นหน่อยประมาณนี้ครับพอปักธูปเสร็จจากที่ภายในไม่มีลม เกิดลมพัดมาอย่างแรงจนใบต้นโพธิ์ไหวอย่างแรง พวกผมเริ่มมองหน้ากันนั่งนิ่งอยู่ประมาณ 10 นาทีเริ่มไม่ไหวเลยยกมือไหว้ศาลแล้วพากันกลับ ออกมาเลยวัดแค่หน่อยเดียวเท่านั้นแหละครับ รถหม้อน้ำแตกดังฟู่เลย ครั้งที่ 2 ก็ทำแบบเดิม คราวนี้ได้ยินเสียงตอนแรกคิดว่าเสียงนกแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงนี้เลยครับมันเป็น
เสียงเล็กๆแหลมๆ เลยอัดเสียงมาใส่โทรศัพย์ไว้อีกวันมานั่งเปิดฟังดูกันไปถามผู้ใหญ่แถวในหมู่บ้านเขาบอกไม่ใช่เสียงนก แต่มันเป็นเสียงเปรต


วิญญาณมุงดู
คือว่ามีวันนึงผมกับเพื่อนๆได้พากันไปสุสาน 7 หลุมกัน(คงจะรู้จักกันดี)ไปประมาณ 7 คนพอไปถึงที่จอดรถ (ทางมันต้องเดินเข้าไป) แฟนเพื่อนที่มาด้วยถึงกับต้องร้องไห้....เพื่อนเลยถามว่าเฮ้ยเป็นไรว่ะ....แฟนเพื่อนตอบว่า..มีคนมาดูเราเต็มไปหมดเลยอ่ะ....ถามต่อว่าอยู่ไหนอ่ะ....เขาบอกว่า อยู่กำแพงข้าง ๆ วัด ฮ้า!! (กรรม แล้วเราจอดรถอยู่ข้างวัดพอดี) พวกเราจึงไม่สบายใจเลยกลับบ้านโดยยังไม่ได้เข้าไป
วันต่อมาเราไปกันอีกโดยไม่เอาเพื่อนคนนั้นไปด้วย เอาล่ะวันนี้เราต้องเข้าไป (พวกเพื่อนๆคิดในใจ) แล้วเราก็เดินเข้าไป บรรยากาศน่ากลัวมาก ๆ เรามีไฟฉายอันเดียว ผมคือ 1ใน 3 คนผู้นำหน้า เดินไปสักพักใหญ่ ๆ เพื่อนที่รู้ทางเอ่ยขึ้นมาว่า เฮ้ย!!!!กุมีอะไรจะบอกพวกมืง (ไอ้เราก็กลัวเลยพูดไปว่า) ไม่เอาหน่ากลับไปบอกอยู่บ้านดีกว่าว่ะเด๋วเพื่อน ๆ จะกลัว....มันบอกว่า..กุต้องบอกพวกมืงจริงๆ (เอาแล้วไง) กุ...กุ...กุ...พาพวกมืงมาผิดทาง กรรมเอาล่ะเดินกลัมมาทางใหม่ เอ่อเจอแล้วคราวนี้ถูกทางแน่ ๆ (จะเป็นทางตัว Y) เราก็เข้าไปกันบรรยากาศเริ่มขนหัวลุก มืดมาก ๆ และมีลมแผ่ว ๆ และเสียงน้ำคลองชลประทานและแล้วเราก็เดินมาถึงสุสาน มองไปรอบ ๆ ก็มีหลุมฝังศพและศาลอยู่ด้านหลังมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม เอาหละมาแล้วก็กลับกันเหอะเพื่อน ๆ พูดกัน
(พวกผมก็เจอเรื่องลึกลับพอสมควร แต่ไม่เอามาเล่าดีกว่าครับ)
นี่ก็เป็นประสบการณ์โดยตรงของผมเองครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่น่ะครับ

ที่มา:
http://www.tlcthai.com

เปรตหอนาฬิกา

เปรตหอนาฬิกา

เนื่องจาก มช เคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่าเรื่องผีทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอ ตรงนั้นจะเป็นวงเวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะ ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิต ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหอ 4 ชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอ 6 หญิง เรื่องนี้เล่ากันว่า ตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้

วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืน ให้ไปขับรถวนทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (ปกติวงเวียนจะให้รถขับวนตามเข็มนาฬิกา) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้นไม่เคยมีใครขับรถทวนเข็มนาฬิกาไ ด้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ แต่วนไปรอบสองก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สาม จู่ๆก็มีเสาสองต้นมาตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้างแฉลบบ้างไปตามๆกัน ใครอยากรู้ก็ลองดูเอง อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชาย 4 และหญิง 6 ฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆเล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิตไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ

ที่มา:
http://www.tlcthai.com

ผีหลังวัด

ผีหลังวัด

สมัยวัยรุ่น ผมได้พบกับเรื่องแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าประสาทหลอนไปเองหรือถูกผีหลอกกันแน่?

ขณะนั้นผมอยู่ในบ้านสวนหลังวัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ เชิงสะพานพิบูลสงครามค่อนไปทางสี่แยกบางโพ หน้าวัดเพิ่งมีตึกแถวสร้างใหม่หลังป้ายรถเมล์ ร้านริมสุดคือร้านเจ๊ป้อมเปิดทั้งด้านหน้าและด้านข้างที่ติดกับทางเข้าวัด ลาบร้านนี้ขายดิบขายดีจนเจ๊ป้อมต้องทำไว้เป็นกะละมัง ไหนจะมีส้มตำกับเนื้อย่างน้ำตกอีกล่ะ

ตกเย็นมีคอเหล้านั่งเต็มร้านไปจนถึงสองสามทุ่ม คนมาช้าต้องซื้อลาบใส่ถุงไปกินที่บ้าน

วัดประดู่ฯ สมัยนั้นจะก็เฉพาะหน้าซอย ตอนเย็นๆ มีหนุ่มสาวเดินหาของกินกันคึ่กๆ จนถึงตรอกโอ่ง ตรงข้ามตรอกบันไดหิน แต่ในซอยเข้าวัดค่อนข้างแคบ ยามค่ำคืนจะเปล่าเปลี่ยวเอาการ

มีบ้านเรือนทางขวามือ ส่วนทางซ้ายเป็นเมรุเผาศพตั้งเด่น ถัดไปมีศาลาเล็กๆ เก่าแก่ติดๆ คูน้ำ อันเป็นทางเข้าสวนที่มีบ้านช่องปลูกอยู่ห่างๆ กัน คนชำนาญทางสามารถเดินเลาะลัดสวนไปทะลุสะพานสูง บางซื่อได้อย่างง่ายดาย

ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบ ได้ทำงานที่กรมชลประทานแถวศรีย่าน เพื่อนฝูงมากหน้าหลายตาขึ้น ตกเย็นก็มักแวะร้านเหล้าประสาชายโสด ที่หน้ากรมบ้าง หน้าโรงหนังบางกระบือบ้าง บางคืนก็มาแวะต่อที่ร้านเจ๊ป้อม...ตบท้ายด้วยข้าวเหนียวจิ้มลาบก็สบายท้องแล้วครับ

ขากลับตอนปิดร้านมักมีคนในซอยที่รู้จักกันเดินไปด้วย เสียอย่างเดียวที่บ้านพวกนั้นถึงก่อน แต่ผมต้องเข้าสวนไปอีกหน่อย

ที่ศาลาเล็กหลังวัดจะเห็นตาเตียนนั่งสูบยาแดงวาบๆ แทบทุกคืน!

ถ้าคนแปลกถิ่นอาจจะนึกว่าผีหลอก แต่ผมรู้จักแกสิบกว่าปีแล้ว ตาเตียนอยู่ในสวนเหมือนกัน แต่พอลูกเต้าโตขึ้นแกก็ได้พักผ่อน...เขาลือกันว่าแกชอบดอดเข้าไปสูบกัญชาในสวนเปลี่ยวเป็นประจำ บางคนก็ว่าแกเล่นของ ร้อนวิชาจนอยู่บ้านไม่ติด ตกค่ำต้องออกมานั่งสูบยา คุยกับผีๆ สางๆ เรื่อยเปื่อยเป็นประจำ

ตาเตียนถูกชะตากับผม ชอบทักทายชวนพูดชวนคุย แถมเล่าเรื่องผีให้ฟัง

"เมื่อตะกี้ตาหมาดแกลงจากเมรุ เดินมาส่งเอ็งถึงนี่เลยโว้ย"

"แหม! นังแตนมันคงชอบเอ็งมากซีนะ ข้าเห็นเดินกระแซะไหล่เอ็งมาถึงนี่แน่ะ หน็อย! พอเห็นข้าคงอายเลยเดินกลับหลุม"

แกชอบพูดแบบนี้แหละครับ ว่าผีเดินมาส่งผม...ตอนแรกก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่ตอนหลังสังเกตว่าพอเดินผ่านเมรุหมาจะหอนทุกครั้ง พอหันไปดูก็เห็นเงาวูบๆ วาบๆ ก่อนจะหายไป...กระทั่งถึงคืนสยองขวัญ!

คืนนั้นผมเดินเข้าซอยเปลี่ยวมาตามเคย อากาศปลายปีหนาวจัดจนขนลุกซ่า พิษเหล้าจางหาย...เสียงหมาหอนเยือกเย็นจนผมหันไปมองเมรุที่โดดเด่นอยู่ใต้แสงดาว ก่อนจะชะงักกึก มองภาพนั้นแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

...ร่างผอมกะหร่องของตาเตียน ผมขาวโพลน นุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว มีผ้าขาวม้าพาดไหล่เดินเข้ามาหา ยิ้มเหงือกแดงบอกว่า...คืนนี้ข้าจะไปส่งเอ็งแทนพวกนั้นนะโว้ย!

ว่าแล้วแกก็ออกเดินนำหน้า ผมเดินตามต้อยๆ ตาลายจนเห็นตาเตียนเดินเหมือนลอย ผ่านศาลาเงียบเชียบเข้าไปในสวน ยอดไม้สะบัดใบซู่ซ่าราวกับป่าเปลี่ยว...จนกระทั่งถึงบ้านผมเรียบร้อย

"ข้าส่งเอ็งแค่นี้ละโว้ย เดี๋ยวจะกลับไปสูบยาซะหน่อย" แกบอกแล้วหันกลับ ผ่านผมวูบวาบไปดื้อๆ พอหันไปมองก็ไม่เห็นแกเสียแล้ว

รุ่งขึ้นถึงได้รู้ข่าวว่าตาเตียนหัวใจวายตายคาบ้องกัญชาตั้งแต่เย็นวาน ตอนนี้ศพอยู่ที่วัด...ถึงจะซาบซึ้งว่าแกห่วงใยผมแค่ไหน แต่ไม่กล้ากลับบ้านดึกๆ อีกต่อไป เพราะกลัวจะเห็นแกเดินยิ้มแป้นเข้ามาหาน่ะซีครับ...บรื๋อส์!

ที่มา:
http://www.tlcthai.com/webboard...

ห้องสีชมพู

ห้องสีชมพู

เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง ไม่แน่ใจว่า 7 หรือ 4 เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอใน แล้วไปมีอะไรกับผู้ชายแล้วเกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4 เดือนแล้ว แต่มันยังไม่ป่องออกมาจึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้ แม้แต่เมท ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้ว แต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง แฟนไม่รับผิดชอบ จึงตัดสินใจเอาออกเองในห้องพัก โดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่ ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิด นักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้อง เพื่อนมาพบศพตอนเย็น เห็นรอยเลือดกระจัดกระจายเต็มฝาผนัง

หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง) โดยที่เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด เห็นรอยเลือดสีจางๆ ติดอยู่ที่ผนังสีขาว ก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอยเลือดยังมีอยู่เ หมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไง ทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่ รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพู ไปทาทั้งห้อง เพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง) ลองไปเยี่ยมชมดูได้ครับ หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้

ที่มา:
http://www.tlcthai.com

ป๊อก...ป๊อก... ครืด

ป๊อก...ป๊อก... ครืด

เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัยเชียงใหม่ ในแง่ของความเศร้า ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัด แต่สถานที่เกิดคือ หอ 7 หญิง ในสมัยที่ มช. ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรัง หน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืดไม่มีแสงไฟ

เรื่องเกิดกับนักศึกษาสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอหญิงเจ็ด ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ประมาณว่านักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำ แล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่ จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมา ฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ฝากซื้อราดหน้า (หรือผัดไทซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยา เมทคนนั้นก็บอกว่า ได้ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง เมทคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหวเพราะไข้ขึ้นจึงนอน ตอนนอนอยู่นั้นสลึมสลือ แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว ทำไมเพื่อยังไม่กลับมาซะที ตกดึก ฝนเริ่มตกหนัก เมทคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนะ เพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่างจากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก……” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันไดดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนน ั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบได้อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อราดหน้าแขวนอยู่ พอเห็นห่อราดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวน ไม่รอเจอกันก่อนจะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได… คิดต่างๆ นาๆ แต่แล้วก็แกะห่อราดหน้าออก ทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป

รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืน ตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและขาทั้งสองข้างหัก อาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หน ี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาดหลังจากทา นข้าวเสร็จ (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพะยอม) ทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดยเพื่อนฝากซื้อข้าวห่อ คนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ แล้วราดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือ หลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อราดหน้าที่ซื้อมาฝากไปส่งให้แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมด แล้วลักษณะที่เขาเล่ามาคือ เพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุง แล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไ ด ลากตัวเองขึ้นมาเป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยิน คือเสียงลากตัวเองจากบันไดมาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นร อยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน
>>หลังจากส่งห่อราดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง…

ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่า แต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่า ในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนัก และลากของหนักจากข้างล่างขึ้นมา แล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ มิตรภาพอยู่เหนือความตาย…

ที่มา:
http://www.tlcthai.com

ผีหรือเทพในดนตรีไทยมาจากไหน

ผีหรือเทพในดนตรีไทยมาจากไหน โดยสงัด ภูเขาทอง

อันว่า "เทพ" หรือ "เทพเจ้า" ที่เราเรียกเราใช้กันทั่วไปนั้น แท้จริงหากจะเรียกตามภาษาชาวบ้านมันก็คือ "ผี" ชนิดหนึ่งนั่นเอง เพียงแต่เราจัดให้เป็นผีชั้นดีชนิดหนึ่งต่างไปจากผีชั้นเลว เช่น พวกเปรตพวกอสุรกาย มีหน้าที่เข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายหรือจิตของคนซึ่งอาจให้คุณให้โทษแก่คนผู้นั้นตามวาระและโอกาสอันควร เฉพาะอย่างยิ่ง คนตะวันออกอย่างคนไทย มักจะยุ่งอยู่กับผีแทบทุกเรื่อง ทุกอาชีพของชีวิต เพียงแต่เรียกให้ไพเราะว่า "ความเชื่อ" ซึ่งที่จริง ก็หมายถึง ผีเข้าไปอยู่หรือผีเข้าไปสิงอยู่ในใจของผู้นั้นเข้าให้แล้ว ผีมีอยู่หลายประเภท ผีชั้นสูงเราเรียกว่า เทพ ผีชั้นต่ำเราเรียกว่า นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง แต่ละประเภทก็มีอยู่หลายระดับมากมายก่ายกอง สุดแต่จะวาดภาพในจินตนาการจะให้มันเป็นอะไร มีลักษณะฐานันดรอย่างไร เช่น เป็นสัตว์ เป็นยักษ์ เป็นอมนุษย์ หรือเป็นคน พร้อมกำหนดที่อยู่ของบรรดาผีเหล่านั้นให้เสร็จสรรพ เช่น ในต้นไม้ ทะเล ภูเขา บ้านเรือน แม้กระทั่งบนอากาศ ใต้ดิน บนดินหรือไม่ให้มีที่อยู่เลย เช่น พวกสัมพเวสี คือ พวกเร่ร่อน ก็มี พวกนี้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เช่นพวกเปรต เป็นต้น หากจะตั้งคำถามว่า ยึดเอาพวกผีพวกเทพมาเป็นสรณะทำไมเล่า คำตอบก็คือ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขความเจริญของชีวิต แต่ที่แท้คือ ความไม่มั่นใจ ไม่เชื่อมั่นในตนเองต่างหาก หรืออาจถูกหลอกให้ทำ ตามจุดประสงค์ที่มีผู้กำหนดเอาไว้แล้ว จึงต้องใช้สิ่งอื่นมาเป็นเครื่องช่วยทำให้เกิด ความเกรงกลัว งานจึงจะสำเร็จตามที่ตนต้องการ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ยึดเอาศาสนามาเป็นที่พึ่ง ก็เพราะความไม่มั่นใจไม่เชื่อใจตนเอง

ในทางดนตรีไทย ผีหรือเทพ ย่อมเข้าไปแฝงอยู่ทั้งในสิ่งที่มีตัวตน เช่น เครื่องดนตรีหรือบทเพลงและยังแฝงอยู่ในจินตนาการ โดยกำหนดความสำคัญ สูงต่ำมากน้อยลง ไปในสิ่งนั้นๆ เช่น เวลาวางตำแหน่งเครื่องดนตรี ทำไมจึงให้ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพนหรือปี่ วางอยู่ทางด้านขวาของผู้บรรเลง ส่วนระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก กลองทัดอยู่ทางด้านซ้ายมันเกี่ยวกับเสียงด้วยหรือ ก็บอกได้ว่า เปล่าเลย เป็นเรื่องของความสำคัญต่างหากที่เราสมมุติขึ้นมาเอง บทเพลง บางประเภท เช่น เพลงหน้าพาทย์ ทำไมจึงได้เกิดฐานันดรขึ้นมา ก็ขึ้นอยู่กับเทพหรือผีนั่นเอง หรือทำไมตะโพนเมื่อเข้าอยู่ในพิธีกรรมจึงต้องมีผ้าขาวพันรอบตัวตะโพน ดังที่เรียกกันว่า "นุ่งผ้า" ก็คงเนื่องมาแต่ "ผี" อีกนั่นแหละ อันที่จริงการเอาตะโพนมานุ่งผ้า คงมิได้มาทางสายของดนตรี แต่ก็ได้เอาแบบอย่างทางสายศิลปะการแสดงหรือนาฏศิลป์ ในทางดนตรี ตะโพน มิได้สำคัญอะไรนอกเหนือไปจากเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่สามารถบรรเลงได้เป็นเพลงชนิดหนึ่งในจำพวกจังหวะ หน้าทับหรือทำให้เกิด เป็นจังหวะได้เท่านั้น แต่ทางฝ่ายศิลปะการแสดง มีความหมายสำคัญยิ่งไปกว่านี้ คือยังทำหน้าที่เป็น "ครู" ชนิดหนึ่งที่สอนคนได้ โดยผู้เรียนเอาเสียงที่ได้จากตะโพนมาสร้างเป็นท่ารำได้ ความสำคัญของศิลปะการแสดงทางนาฏศิลป์อยู่ที่ท่ารำ โดยอาศัยจังหวะเป็นสำคัญ อะไรก็ได้ที่ทำแล้วบอกให้รู้ว่าเป็นจังหวะ เขาก็สามารถสร้างท่ารำได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเสียงเพลง ตะโพน หรือโทน หรือทับ นอกจากจะทำเป็นจังหวะได้แล้ว ยังทำเสียงได้หลายเสียง คล้ายเป็นเพลงชนิดหนึ่งได้อีกด้วยก็ยิ่งเพิ่มความสำคัญให้แก่คนนาฏศิลป์ยิ่งขึ้นไปอีก จึงทำให้ตะโพนหรือโทนหรือทับถูกยกย่องให้อยู่ในฐานะชั้น "ครู" เอาทีเดียว มิหนำซ้ำ แม้จะไม่มีตะโพน แต่ใช้เปล่งเสียงด้วยปากเปล่า เขาก็สามารถรำได้ "ครู" ที่แฝงอยู่ในตะโพนนี้ก็จัดให้เป็น "ผี" ชนิดหนึ่ง เป็นครูที่ไม่มีตัวตน อย่างที่สอนกันตามห้องเรียน แต่เป็นครูแห่งจินตนาการที่เกิดความรู้สึกว่าให้ประโยชน์และคุณค่าต่อการศึกษาโดยปริยายอย่างหนึ่ง การที่เราเอาตะโพนมายกย่องถึงขั้นกราบไหว้กัน ปัจจุบันก็มิได้เสียหายอะไร เท่ากับว่าได้รำลึกถึงคุณประโยชน์ที่ได้ประโยชน์จากตะโพน

อันว่าผีหรือเทพที่อยู่ในความเชื่อของมนุษย์ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับดนตรีหรือไม่ก็ตาม มีอยู่หลายชนิด เช่น
๑. พวกที่เดิมเป็นมนุษย์ที่แท้ แต่ได้กลายสภาพเป็นผู้อยู่ในฐานะ "บรรพบุรุษ" ที่ยังคงระลึกถึงอยู่
๒. มนุษย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้วแต่ได้รับการยกย่องให้อยู่ในฐานะ "เทพ"
๓. พวกที่หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง กลายเป็น เทพ ที่สมบูรณ์แล้วไปทำหน้าที่ต่างๆ บนสวรรค์ เช่น พระอิศวร ที่ถือว่าเป็นนายใหญ่หรือพระเจ้าแผ่นดินแห่งสวรรค์พระประโคนธรรพ ผู้ทำหน้าที่ให้ความบันเทิงแก่ชาวสวรรค์ จะเรียกว่า เป็นศิลปินก็ย่อมได้ หากมีตำแหน่งก็คือ อธิบดีกรมศิลปากร พระพิฆเณศร์ ก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือ พระนารายณ์ ก็คือ อธิบดีกรมตำรวจนั่นเอง
๔.พวกเทพที่แฝงอยู่ในสิ่งที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น
๕.พวกยักษ์ เท่าที่กล่าวไว้ในดนตรีมีเพียงตนเดียว ดังที่เรียกกันทั่วไปว่า "พระพิราพ" แต่เวลาอ่านโองการจะออกเสียงว่า "พิราธัง" คือ "พิราธ" นั่นเอง เรื่องของยักษ์พิราพ หรือพระพิราพหรือพิราธังนี้ ยังมิได้ค้นหาถึงรายละเอียด เพียงแต่รู้ว่า ถ้าชื่อว่า "พิราพ" ก็เป็นแต่เพียงยักษ์ธรรมดาตนหนึ่งเท่านั้น มีหน้าที่เฝ้าสวนของทศกัณฐ์ ต่อมาก็ถูกพระรามฆ่าตาย มิได้มีฤทธิเดชอะไร ส่วนคำ "พิราธัง" หรือ "พิราธ" ได้ตรวจค้นในอภิฐานศัพท์ในภาษาสันสกฤตคำนี้ไม่มี มีแต่คำว่า "ราธ" แปลว่า ทำเสร็จ หรือ ทำลุล่วง หากเติม "วิ" อุปสรรคลงไป แปลง "วิ" เป็น "พิ" เป็น "พิราธ" ก็คงแปลว่า ทำสำเร็จโดยยิ่ง เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะออกเสียงเป็น พิราพ หรือ พิราธัง เราคงต้องถือว่า เป็นยักษ์ชั้นดี หรือยักษ์ชั้นสูง
๖.พวกสัตว์ เท่าที่พาดพิงอยู่บ้างเห็นจะเป็นจำพวกนก น่าจะได้แก่ ครุฑ คือสัตว์ในเทพนิยาย เนื่องจากมีเพลงประจำตัวอยู่เพลงหนึ่ง เรียกว่า "แผละ" บ้าง "แพละ" บ้าง หมายถึง แสดงอาการบินของนกเท่านั้น เมื่อพูดถึงเพลงประจำตัว ชวนให้นึกถึง เทพ หรือ ผี ทางดนตรี ที่มักจะมีเพลงประจำตัว แสดงถึง ศักดิ์และฐานะสูงต่ำแตกต่างกันไป เพลงที่ว่านี้มักจัดอยู่ในจำพวกเพลงหน้าพาทย์ พลอยทำให้ค่าของเพลงพลอยสูงต่ำไปด้วย จนกลายเป็นว่า เพลงมีความสำคัญยิ่งกว่าเจ้าของเพลง

หากตรวจดูที่มาที่ไป ก็มนุษย์นี่แหละเป็นผู้กำหนดกรอบตามที่มนุษย์ชอบหรือพอใจ เพียงโอนไปให้กับสิ่งอื่น จึงดูประหนึ่งว่า เพลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบรรดาเทพเหล่านี้ เป็นเพลงประจำตัวของบรรดาเทพเหล่านั้นไปเสียแล้ว ปัญหาสำคัญที่ต้องขบคิดว่า บรรดาเทพหรือผีต่างๆ เหล่านั้นเข้ามาปนอยู่ในดนตรีไทยได้อย่างไร ใครมาเป็นแบบอย่างจนกระทั่งกลายมาเป็นความเชื่อที่เกาะกินใจอย่างแข็งแรงในหมู่นักดนตรีไทยจนถึงปัจจุบัน หากจะตอบถึงที่มาอย่างง่ายๆ คงไม่แคล้วไปที่อินเดีย เพราะหลักฐานปรากฏชัดว่าเป็น "ผี" อินเดีย สมมุติว่าให้อินเดียเป็นต้นแบบ แล้วจะมีอะไรเล่าที่คนอินเดียได้แสดง หรือได้ประกอบพิธีกรรมหรือมีพฤติกรรมอะไรก็ตามที่ทำให้คนดนตรีเกิดความซาบซึ้ง เกิดความเชื่อที่แฝงไปด้วยความเกรงกลัวและเคารพดังเช่นในปัจจุบัน เพราะการที่เกิดความซาบซึ้งในสิ่งใดอย่างแนบแน่นนั้น ย่อมผ่านประสบการณ์ที่ซ้ำซากมาเป็นเวลานาน หากเป็นการแสดง มีการแสดงอะไรเล่า เมื่อเราได้ชมได้เห็น เกิดความศรัทธาแล้วตามมาด้วยความเชื่อ แล้วนำมาปฏิบัติจนเป็นจารีตประเพณีในหมู่คนดนตรีไทยก็ยังมองไม่เห็นทาง หรือว่าจะมาทางพิธีกรรมของพราหมณ์หรือฮินดูก็ยิ่งมองไม่เห็นหนักเข้าไปอีก เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของพราหมณ์หรือฮินดูมักจะเป็นคนชั้นสูงหรือเจ้านาย คนสามัญก็เป็นแต่เพียงรับรู้ในปาฏิหารย์เพียงบางอย่างเท่านั้น หรือจะมีใครเป็นต้นคิดสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างเอาอินเดียมาเป็นต้นแบบ ผู้คนเห็นว่าเป็นของดีแล้วพากันปฏิบัติตามจนกลายเป็นจารีตประเพณีในหมู่คนไทย

เรื่องนี้หากมองลึกๆ ลงไปแล้วเห็นว่าน่าจะมาจากจีน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์คนจีนที่เข้าสู่ประเทศไทยมี ๒ กลุ่มใหญ่ๆ พวกที่เข้ามาทางบก ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคอีสานหรือภาคกลาง ส่วนมากเป็นจีนแต้จิ๋ว พวกที่เข้ามาทางทะเลเลยไปถึงภาคใต้ มักเป็นพวกจีนฮกเกี้ยน อาจจะมีพวกไหหลำปนอยู่บ้าง คนไทยคุ้นเคยกับคนจีนมานานนักหนาแล้ว ถึงกับรับเอาอารยธรรมของเขามาใช้อยู่หลายอย่าง เช่น ภาษา ศิลปวัฒนธรรม รวมถึงจารีตประเพณีของเขาบางอย่างมาใช้

บรรดาเราท่านทั้งหลายต่างก็ทราบกันเป็นอย่างดีว่า จีนเป็นชาติที่นับถือบรรพบุรุษ ที่จริงบรรพบุรุษก็คือ "ผี" นั่นเอง ที่มีความผูกพันเกี่ยวข้องอยู่กับคนใกล้ชิดกันอย่างแน่นหนา จนมีคำกล่าวอยู่ในหมู่คนจีนว่า ผีกับคนอยู่ห่างกันแค่เพียงกระดาษแผ่นเดียว พิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีของคนจีนมีมากมาย แม้แต่ดวงจันทร์ เราก็จัดให้เป็นผีชนิดหนึ่ง ความเชื่อในเรื่องผีนี่แหละ คนจีนได้นำเข้าไปประสมประสานในศิลปะการแสดงบางอย่าง เฉพาะอย่างยิ่ง "งิ้ว" ซึ่งเป็นมหาอุปรากรที่สำคัญอย่างหนึ่ง ไม่แตกต่างกับความยิ่งใหญ่กับการแสดงโขนของไทย ที่ได้รวบรวมศิลปะการแสดงและดนตรีเอาไว้อย่างครบถ้วน คำว่า "งิ้ว" คนจีนเขาออกเสียงได้หลายอย่าง เช่น อี่ หี่ ซี่ อี๋ อี้ หรือ อิว ไปตามความแตกต่าง การออกเสียงในภาษาท้องถิ่นของจีน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชาติไทย ปรากฏว่า การแสดงงิ้วได้แพร่หลายและเป็นที่นิยม คงทั้งในหมู่คนไทยและคนจีนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ดังปรากฏในจดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาซารด์ ทูต พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๘ (ค.ศ. ๑๖๘๕) กล่าวถึง ได้ชมการแสดงงิ้ว และมีความพอใจเป็นอันมาก แม้แต่ ลาลูแบร์ อัครราชทูตฝรั่งเศส ผู้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ยังชื่นชมต่อการแสดงงิ้วของจีน

นอกจากนี้ จากการบันทึกของกรมหลวงนรินทรเทวี สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี การแสดงงิ้ว ก็เป็นที่นิยมแพร่หลายมาก การแสดงงิ้วของจีน ใช่ว่าจะมีแต่ศิลปะการแสดงเพียงอย่างเดียวก็หาไม่ แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ เแพาะอย่างยิ่งกระบวนการพิธีกรรมที่ลึกลับซับซ้อนอันเนื่องมาแต่ความเชื่อเข้ามาปนอยุ่กับการแสดง ดังนี้
๑. ความเชื่อในเรื่องเจ้า ที่จริง เจ้าก็คือ ผีหรือเทพนั่นเอง การนับถือเจ้าของการแสดงงิ้วถือว่าสำคัญมาก คณะงิ้วทุกคณะย่อมมีเจ้าประจำคณะทั้งสิ้น เจ้าตามความเชื่อของสังคมจีน มิได้เกิดจากการจินตนาการ แต่เกิดจากบุคคลที่เคยมีตัวตน ผู้เคยทำคุณงามความดีให้แก่สังคมมาก่อน เมื่อสิ้นชีพไปแล้ว ก็ได้กลายมาอยู่ในฐานะ "เจ้า" คือบรรพบุรุษนั่นเอง ความสำคัญของเจ้าย่อมแตกต่างกันไป เช่น หากเราสังเกต ทางด้านหลังโรงงิ้ว จะต้องมีศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่ คนจีนเขาเรียกว่า "ฉั่งหง่วงส่วย" ที่จริงคำ ฉั่งหง่วงส่วย เป็นชื่อของคนธรรมดาผู้หนึ่ง เคยทำคุณงามความดีไว้มาก แต่ต่อมาได้ทำความผิดกฎมณเฑียรบาลด้วยความพลาดพลั้ง ฮ่องเต้จึงให้ประหาร แต่ประหารสกุลคือ "แซ่" ถือว่าเป็นโทษที่รุนแรงมาก เท่ากับว่าเป็นผู้รักษาสกุลไม่ได้ แต่คนทั่วไปยังคงให้ความเคารพเช่นเดิม ผู้เล่นงิ้วทุกคนถือว่าเป็นบรมครูของงิ้ว เรียกท่านด้วยความเคารพว่า "เหล่าเอี้ย" หมายถึง เจ้าปู่หรือผู้อาวุโสนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีเจ้าอื่นๆ อีกเช่น กวนอู เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์และมีความสามารถยอดเยี่ยมในเชิงยุทธ ยังมีเจ้า "ไท้จือ" หรือราชโอรสทั้งสาม ที่ชาวคณะงิ้วให้ความเคารพบูชามาก เรียกชื่อไปตามลำดับว่า "ตั่ว หยี่ ซา" โดยทำเป็นตุ๊กตา ๓ ตัว วางเรียงอยู่ในกล่องสีแดง แล้วนำไปติดกับฝาหีบบรรจุเครื่องแต่งตัวใบหนึ่ง ที่เรียกว่า หีบของเจ้าโดยเฉพาะ ที่จริง ราชโอรสทั้งสาม ก็คือ ราชโอรสของพระเจ้าถังไห่จงแห่งราชวงศ์ถัง ราชโอรสทั้งสามชอบดูงิ้วมาก วันหนึ่งขณะที่กำลังดูงิ้ว ราชโอรสองค์เล็กได้ตกลงมาตาย แสดงว่าที่ดูงิ้วต้องเป็นที่สูง ทำให้ราชโอรสที่เหลืออีก ๒ องค์เศร้าโศกเสียใจมากจนตรอมใจตายในไม่ช้า นอกจากนี้ยังมีเจ้าอื่นๆ อีกหลายองค์ เช่น เจ้าผู้ปราบผีที่เรียกว่า "เจงคุ้ย" หรือ เจ้าแห่งผู้ทำให้เกิดแสงสว่าง เช่น เครื่องปั่นไฟ เป็นต้น
๒. จำพวกเครื่องเซ่น จะเน้นไปทางด้านขนมหวานและผลไม้ ไม่นิยมสัตว์ที่มีชีวิต พวกขนมหวานที่จำเป็นต้องมี ได้แก่ ขนมเปี๊ยะกลมใหญ่ (ตั่วหล่าเปี้ย) ขนมที่เป็นสิริมงคล ขนมบัวลอยอย่างจีน (ขนมอี๊) ขนม "หนึงทึ้ง" หรือ "เหม่งทึ้ง" เป็นขนมหวานอย่างหนึ่งของจีน มีลักษณะเป็นแป้งเหนียว ก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าคลุกด้วยงา รสหวาน นอกจากนี้มีผลไม้ เช่น ส้ม ชาและสุรา ส่วนสิ่งที่มีชีวิตที่นำมาใช้เป็นเครื่องเซ่น เห็นมีแต่ไก่เพียงอย่างเดียว แต่มิได้ฆ่า เพียงแต่นำมาเชือดหงอนเอาเลือดไปป้ายตามเสาโรงงิ้วแล้วปล่อยไป ใครจับได้นำไปเลี้ยงจะให้โชค เพราะเป็นไก่เจ้า
๓. เครื่องดนตรี ถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ เฉพาะอย่างยิ่งงิ้วแต้จิ๋ว เขาแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มคือ
๓.๑ กลุ่มฝ่ายบู๊ หรือฝ่ายกลอง (โก๋วคา) มีความสำคัญมาก ที่ใช้บอกสัญญาณ จังหวะ กำกับการเคลื่อนไหวของตัวแสดง การให้คิว การเปลี่ยนฉาก หรือการเข้าออกของตัวแสดง เป็นต้น นอกจากกลองแล้วยังมีพวกฆ้อง ฉาบ กรับจีน และเกราะ เครื่องดนตรีกลุ่มนี้วางอยู่ทางด้านซ้ายของผู้ชม
๓.๒ กลุ่มฝ่ายบุ๋น คือฝ่ายเครื่องสาย (อี้คา) ได้แก่ ปี่ ขิม ซอ ใช้ดำเนินทำนองหรือประกอบการขับร้อง วางอยู่ทางด้านขวาของผู้ชม
๔. เกียวกับบทเพลง บทเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงงิ้วมีอยู่ ๒ ลักษณะคือ บทเพลงที่มีคำร้องและบทเพลงบรรเลงล้วนไม่มีคำร้อง เพลงที่มีคำร้องจะใช้สำหรับตัวงิ้วทั่วไปตามบท ส่วนเพลงที่ไม่มีคำร้องมีวิธีใช้อยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคล้ายกับเพลงหน้าพาทย์ของไทย เพื่อแสดงอารมณ์ต่างๆ ของตัวงิ้ว เช่น เพลง "เจียวกุงอ่วง" ใช้สำหรับอารมณ์เศร้า หรือ ระบายความอัดอั้นตันใจ เพลง "หลั่งเถ่าซา" ใช้สำหรับการเดินอย่างช้าๆ อย่างใช้ความคิด อีกอย่างหนึ่งคล้ายเป็นเพลงประจำตัวเจ้า เช่น เพลง "บุ่งเตี๋ยมกัง" ใช้เมื่อออกชุด "โป๊ยเซียน" (เทวดาทั้ง ๘) หรือเพลง "เซียงกอ" ใช้ในขณะรับเจ้าจากโรงงิ้ว เป็นต้น การที่ได้นำเอาเรื่องงิ้วจีนมากล่าวนี้ ก็เนื่องจากดังที่ได้ตั้งปัญหาไว้แต่ตอนแรกที่ชวนให้ขบคิดว่า คติการนับถือเทพหรือผีในดนตรีไทยเราได้ความคิดมาจากใคร ระหว่างจีนกับอินเดีย ซึ่งดูแต่เพียงผิวเผินก็น่าจะมาทางสายอินเดีย เพราะด้านศาสนาไม่ว่าจะเป็นฮินดูหรือพราหมณ์ จะมีเทพหรือผีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น แต่ถ้ามองให้ลึกน่าจะมาทางสายจีนมากกว่า เพราะถ้าเรามองในด้านประสบการณ์ เรามีโอกาสได้สัมผัสกับจีนมากกว่าอินเดีย หรือหากสังเกตกระบวนการ การจัดทำในพิธีกรรมทั้งไทยและจีนก็สอดคล้องกันมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดนตรี เครื่องเซ่นสรวงบูชา หรือบทบาทของเทพหรือเจ้าก็มีจุดประสงค์คล้ายกันคือ ทำหน้าที่เป็นครูชนิดหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ แต่ทำไมจึงต้องกลายเป็นผีแขกไปเล่า ก็เพราะเราเลื่อมใสศรัทธาแขกมากกว่าจีน มิหนำซ้ำเรายังเคยเหยียดหยามดูถูกจีนด้วยซ้ำไป จนเกิดมีคำแปลกๆ เช่น ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊กบ้าง เจ๊กตื่นไฟบ้าง ขากถุยอย่างกับเจ๊กบ้าง จึงคิดเปลี่ยนให้มาเป็นแขก การคิดทำอะไรให้เป็นแขกๆ รู้สึกว่านอกจากจะขลังแล้วยังโก้อีกด้วย ทำอย่างจีนมัน "เชย" ฉะนั้น ด้านพิธีกรรมเราเก็บเอาไว้อย่างจีน เพียงแต่เปลี่ยนบรรดาเทพหรือผีแขกให้เป็นเจ้าจีน สมเด็จฯกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ยังทรงประทานความเห็นว่าเพลงพญาเดินหรือพระยาเดินนั้นเป็นทำนองเพลงจีน คิดไปคิดมา พระพิราพอาจมาจากกวนอูก็เป็นได้

ที่มา:
http://kunchonkasam.multiply.com/journal/item/3

รู้จักกับผีกันดีกว่า

รู้จักกับผีกันดีกว่า

หากมีใครถามว่า ในตระกูลผีด้วยกันนั้น กลัวผีชาติไหนมากที่สุด ก็คงตอบโดยไม่ต้องคิดว่า ผีญี่ปุ่นน่ากลัวติดอับดับท็อปเทน ไอ้ที่ผิวซีด ๆ ขาว ๆ ผมยาวยาว ๆ หน้าตาเฉยเมย บอกบุญไม่รับ จับอารมณ์เธอไม่ค่อยถูกนึกอยากจะโผล่ก็โผล่ดิ้อๆ ผู้พิสมัยการดูหนังกลางแปลงแต่ดูไปกี่ครั้งกี่เรื่องก็หลอกเหมือนเดิม
ผีจีน ก็เอาแต่กระโดด จนกลัวกระดูกสะบ้าจะหลุดฟาดหน้าคนดู ถ้าไม่รีบชิงไปเกิดก่อนละก็ มีหวังได้โรคไส้เลื่อนแถมพกมาอีกหนึ่ง น่าเป็นห่วงนะนี่
พูดไป ก้อเหมือนลำเอียงด้วยอาการชาตินิยมเอามากๆ ตรงที่ชอบผีไทย เพราะหลอกได้น่ารัก น่าชัน ดูผีชาติไหนๆ ก็ไม่ครื้นเครงเท่าผีไทยหรอก โอ่งใบเดียวผลัดกันลงไปซ่อนตัวระหว่างผีกับคนได้แต่ต้นจนบัดนี้ก็ยังจบไม่ลง หนังบ้านผีปอบ ถ่ายทำมา 10 กว่าภาคแล้ว แต่ผีกับคนยังวิ่งแรงเหลือเฟือ
ผีไทยแบ่งแยกได้หลายสาขา หลายตระกูล เอาเป็นว่าขอเป็นไก๊ด์ผี คือพาพ่อแม่พี่น้องไปแนะนำให้รู้จักกับผีอย่างใกล้ชิด แล้วท่านจะรักผีไทยมากขึ้นกว่าเดิม

“ผี” คือสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นตัวได้ แต่ถือว่ามีฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติที่แบ่งได้เป็นสองพวกใหญ่ๆ เป็นผีดีเสียพวกหนึ่ง กับผีร้ายพวกหนึ่ง แต่เดิมเรียกผีนิสัยดีว่าผีฟ้า เพราะคิดว่าสถิตอยู่บนฟ้า ภายหลังเรียกว่า เทวดา ตามคติความเชื่อของพราหมณ์ ผีประเภทเทวดานี้มีหลายวรรณะ โดยเริ่มจากผีฟ้าที่เกิดจากการยกย่องกษัตริย์เป็นสมมติเทพ ผีฟ้าพญาแถน จึงเป็นผีบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่

นิวาสสถานของผีมีอยู่ทั่วไป ทั้งบนฟ้าที่เรียกผีฟ้าแล้ว ก็มีในน้ำ บนดิน ในป่า ในถ้ำ ตามเทือกเขาต่างๆ

ที่สถิตอยู่ตามธรรมชาติ เป็นเทวดาชั้นต่ำนั้น เรามักเรียกว่า เจ้า เสียส่วนใหญ่ หากสถิตตามต้นไม้ ก็เป็น เทพารักษ์ หรือ รุกขเทวดา นับเนื่องเป็นชนิด ผีเจ้าป่า ผีเฝ้านาของอีสาน จัดเป็น ผีเจ้าที่ เรียกว่า ผีตาแฮกถ้าดูแลเทือกเขาขนาดใหญ่ก็เรียกว่า ผีเจ้าเขา สุดแต่ว่าจะสิงสถิต และเป็นใหญ่อยู่ที่ใด

ผีชั้นดีที่อดีตเคยเป็นบรรพบุรุษ อาจเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เคารพของครอบครัว ตายแล้วสิงอยู่ในบ้านเรือน เป็นผีตระกูลผีบรรพบุรุษ เรียกว่า ผีปู่ย่าตายาย ถ้าสิงที่เสาเอกของเรือน ก็เรียกว่า ผีบ้านผีเรือน คนอีสานเรียกผีชนิดนี้ว่า ผีด้ำ คนไทยใหญ่ เรียกว่า ผีล่ำ เราจึงมีสำนวน “ผีช้ำด้ำพลอย” อันหมายถึง ถูกผีอื่นทำร้ายแล้วยังไม่พอ ยังถูกผีเรือนของตนซ้ำเติมเข้าไปอีก อะไรจะโชคร้ายปานนั้น

ผีวีรบุรุษ เป็นผีบรรพบุรุษอีกประเภทที่เคยเป็นคนเก่งกล้า มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติบ้านเมือง มีคนนับถือกราบไหว้ ซ้ำยังเกรงกลัวอำนาจของท่าน ผีชนิดนี้ จึงมีผู้ปลูกศาล และเชิญให้มาอยู่อย่างสมฐานะ

ถ้าเป็นผีบรรพบุรุษของหมู่บ้าน ทางเหนือเรียกว่า ผีปู่ย่า อีสานเรียกว่า ผีปู่ตา ชาวบ้านจะสร้างศาลหรือหอผีประจำหมู่บ้านไว้ปากทางที่จะเข้าหมู่บ้านให้เห็นชัดเจน

หากเป็นผีมีระดับ ชั้นผู้ใหญ่ มีศักดิ์เป็นผีประจำที่เมือง ก็เรียกกันว่า ผีบ้านผีเมือง เป็นผีคู่บ้านคู่เมืองมาแต่ดั้งเดิม เป็นผีเชื้อสายของสกุล บางทีเรียกผีเสื้อ เช่น ผีเสื้อบ้าน เป็นผีประจำบ้าน ผีเสื้อเมือง ก็เป็นผีประจำเมือง เรียกไปเรียกมากลายเป็น พระเสื้อเมือง ในที่สุด ที่สถิตคือศาลหลักเมือง จึงเรียกอีกอย่างว่า ผีหลวงด้วย

คราวนี้ก็เป็นผีชั้นเลวล่ะค่ะ บางทีเรียกว่าภูตผีหรือปีศาจ อาจเป็นผีเกะกะ คนจึงกลัว ส่วนใหญ่ต่ำศักดิ์กว่า รากษส และอสูรอื่นๆ บางตำรากล่าวว่าเกิดจากการสร้างของพระพรหม ที่อยู่ของพวกนี้คือ แดนปีศาจโลก

ช นิดของผีชั้นเลวมีมาก ประเภทผีจะกละ พวกเดียวกับ ผีปอบ ผีกระสือ ที่ชอบสิงสู่อยู่ในร่างคนเป็นๆ เพื่ออาศัยร่างดื่มกินอาหารที่ตนชอบ กินเพลิน จนเลยไปถึงตับไตไส้พุง และของโสโครก จนเจ้าของร่างทรุดโทรมจนตายในที่สุด ถ้าไม่ขับไล่ด้วยคาถาอาคมออกจากร่างไปก่อน ถ้าหากเป็นเพศชายกลับเรียก ผีกระหัง หรือ ผีกระหาง เขาว่ามีหางที่ก้น แต่ใช้สากต่างหาง เอากระด้งทำเป็นปีกบินหากินเวลากลางคืน อีสานเรียกว่า ผีปอบ เหนือเรียกว่า ผีกะ คงตัดคำมาจาก ผีจะกละ คือกินไม่เลือก เขมรกลับเรียก ผีฉมบ ผีชมบ หรือ ผีทมบ โดยหมายรวมไปถึงผีผู้หญิงชาวเขมรที่ไปตายในป่า และสิงสู่อยู่ในบริเวณที่ตายนั้นด้วย จะเห็นเป็นเงาๆๆ ไม่ทำอันตรายใคร เขาว่ามาอย่างนี้นะคะ แต่คงไม่มีใครสมัครใจเจอ จริงไหมคะ

ที่ชอบสิงอยู่ในตัวคนอีกชนิดหนึ่งของอีสาน คือ ผีเป้า เมื่อเจ้าของหลับ จะมีแสงสว่างแบบผีกระสือแต่จุดประสงค์ คือออกไปกินมูลสุนัข ถอดเฉพาะหัวกับตับไตไส้พุง

ผู้รู้เรื่องเวทย์อาคมแถวอีสานและเหนือ ที่ชอบเล่นว่านยา มีฤทธิ์ร้ายแรงแล้วชอบทำผิดขนบ ผิดธรรมเนียม หรือผิดครู จะกลายเป็น ผีโพง หรือ ผีโพลง สามารถสืบต่อกันทางน้ำลาย ชอบออกหากินตอนกลางคืน ยามฝนตกพรำ ๆ กินของโสโครกตามใต้ถุนบ้านที่มีหญิงคลอดลูกอยู่ไฟ ถ้าเราจำได้ว่าเป็นใคร ให้เอาหอกซัดถูกกลางหลัง รุ่งเช้าตามไปดูที่บ้าน จะพบหอกที่ซัดติดกับกอว่าน ซึ่งเขาปลูกไว้ ข้อควรระวังสำหรับเราคือ อย่าทะเลาะกับผีโพงแล้วจะปลอดภัย ไม่งั้นจะโดนไม้คานแม่ม่ายขว้างข้าม หลังคาบ้านใครโดนจะหายนะตลอดไป

ผีโขมด เป็นตระกูลเดียวกับ ผีกระสือ ไม่ทำอันตรายใครนอกจากลวงให้คนเดินทางหลงผิด คิดว่ามีคนถือไฟเดินข้างหน้า พอเข้าใกล้ก็หาย ตามหลักวิทยาศาสตร์เขาว่า เป็นก๊าซ ที่เกิดจากการผุเน่าของพืชตามที่ชื้นแฉะจึงเห็นเป็นแสงวาวๆดังกล่าว

ผีกองกอย เป็นผีป่าที่มีตีนเดียว ที่เรียก กองกอย เพราะไปไหนด้วยอาการขาเขย่งเกงกอย ร้องเสียงจุ๊ๆ มักลอบดูดเลือดหัวแม่เท้าของคนเดินป่าที่นอนหลับในเวลากลางคืน ชอบนั่งมากกว่ายืน เพราะไม่มีสะบ้าหัวเข่าเป็นพันธุ์เดียวกับ ผีโป่งค่าง เพราะชอบดูดเลือดคนหลับเหมือนกัน รูปร่างเป็นค่าง แต่หางสั้น ริมฝีปากบนเชิดจนเห็นฟันข้างบนยื่นออกมา

ผีพราย เป็นผีที่คนเลี้ยงไว้ใช้งาน เป็นคนละชนิดกับ พรายน้ำ ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในน้ำ ผีกุมารทอง ก็มีหน้าที่เหมือนผีพราย ที่รับใช้คนเลี้ยง มีเครื่องเซ่นเป็นอามิสสินจ้าง เมื่อเสร็จงานแต่ละครั้ง

สำหรับต้นสังกัดของผีจริงๆ ก็คือ ท้าวกุเวร หนึ่งในจตุโลกบาลประจำทิศเหนือ เรียกง่าย ๆ ว่า ผีมีเจ้า ตุหยัก เป็นหนึ่งในสมาชิก มีหน้าที่ดุแลขุมทรัพย์ใต้ดิน คงทำนอง ผีปู่โสม

ส่วนผีไร้สังกัด ร่อนเร่ไร้ที่อยู่อาศัย ประเภทผีไร้ญาติ ที่เหลือก็มี ผีเปรต ผีทะเล ผีดิน ผีตายซาก ผีตายโหง เยอะแยะไปหมด ที่ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย ก็คือ ผีบุญ ซึ่งไม่ใช่ผี แต่เป็นคนที่ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ แล้วถือโอกาสกบฎ

มีคำเกี่ยวข้องกับบรรดาคุณผีๆ ทั้งหลายที่น่ารู้อยู่อีกคำนึงคือ ผีหลวง อันหมายถึง ทิศที่ถือว่า เป็นอัปมงคล เป็นที่โคจรของผีประจำทิศต่าง ๆ ในแต่ละวัน ความเชื่อเกี่ยวกับฤกษ์ยามของไทยนั้น ผีหลวง คือทิศทางตรงข้ามกับหลาวเหล็ก เช่นถ้าผีหลวงอยู่ทิศเหนือ หลาวเหล็กก็จะอยู่ทิศใต้ วันไหนทิศไหนเป็นทิศผีหลวง หรือหลาวเหล็ก ทิศนั้นก็เป็นทิศกาลกิณีของวันนั้น ต้องหลีกเลียเสียแล้ว ดูตามคาถาโบราณที่ท่านให้มาแล้วหลีกเลี่ยงกันเอาเองนะ
“ อาทิตย์ พายัพ กัณฐศวา จันทะ บูรพา อุสุภราโช
อังคาร อีสาน ราชสิงโห พุธ พยัคโฆ อุตตรนการัง
พฤหัส ทักษิณ จมหิงษนัง ศุกะระ มังษัง ปจิมเม
เสาร็ อาดเนยะ คชวรัง”
แปลเป็นไทยได้ความว่า
วันอาทิตย์ ผีหลวงเป็นม้า อยู่ทิศพายัพ
วันจันทร์ ผีหลวงเป็นวัว อยู่ทิศบูรพา
วันอังคาร ผีหลวงเป็นสิงห์ อยู่ทิศอีสาน
วันพุธ ผีหลวงเป็นเสือ อยู่ทิศอุดร
วันพฤหัส ผีหลวงเป็นควาย อยู่ทิศทักษิณ
วันศุกร์ ผีหลวงเป็นเนื้อ อยู่ทิศประจิม
วันเสาร์ ผีหลวงเป็นช้าง อยู่ทิศอาคเนย์

ที่มา:
http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=17&wpid=0050

8 วิธีเห็นผี!!!!

•••8 วิธีเห็นผี!!!!

เค้าว่ากันว่า 8 วิธี นี้ทำแล้วจะเห็นผี!!! โดยทุกวิธีต้องทำระหว่าง 22.00 - 24.00 น. และต้องไม่เลยเที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่ ซึ่งทุกวิธีห้ามใส่พระ ยกเว้นวิธีที่ 8 โดยวันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นมากที่สุดคือวันพุธ และ วันอาทิตย์ ส่วนคนที่มีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือคนที่เกิดวันพุธ วันศุกร์ และ วันอาทิตย์ ทั้งนี้ ทุกวิธีอาจจะให้มีคนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุว่าคุณต้องทำคนเดียว ทุกวิธีที่ต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออกแล้วค่อยลืมตา

วิธีที่1 มองลอดใต้หว่างขา
1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริงๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี
2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้ม จะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก)
3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้ แต่ห้ามพนมมือ)
4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้าๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม (ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า พุทโธถายะ (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3 ครั้งด้วย) ***เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า พุทโธทายะ และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3
5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้ แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้ และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้ เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้
6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด) เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว ให้ตั้งสติดี ๆ แล้วลืมตา
7. แล้วผีจะมาให้เห็น

***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็นจะอยู่ไกล หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน***
1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที
2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย
3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง พุทโธ แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง

วิธีที่2 ตัดเล็บตอนกลางคืน
ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่
1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง ,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง) โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้ายเล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตาม รูปเล็บ มิเช่นนั้นจะไมได้ผล*
2. น้ำเศษเล็กที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว ไม่ใช่ผ้าใหม่)
3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พักอาศัย
4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง แก๊กๆ นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ
5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้ (เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน
6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้ คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ
7. ให้คุณพูดเบาๆ ว่า ขอบคุณ แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)

วิธีที่3 หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย
วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย
1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที
2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที
3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี
4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ) แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7) แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น
5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี

วิธีที่4 ดีดลูกคิดตอนกลางคืน
ลูกคิดที่ใช้ดีดให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา
2. ดีดลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ) ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย
3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก
4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น
5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม* นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด

วิธีที่5 เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน
1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว)
2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา)
3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น

วิธีที่6 ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว
ต้องทำคนเดียว
1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า (ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง)
2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า)
3. แล้วผีจะมาให้เห็น

วิธีที่7 แหงนหน้ามองตรงบันได
ต้องทำคนเดียว
1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ (ใช้ก้อนลงบันได้นั่นเอง)
2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด
3. แล้วผีจะมาให้เห็น

วิธีที่8 สวมพระกลับหลัง
ต้องทำคนเดียว
1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย)
2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น
3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี

ใครลองทำวิธีไหน แล้วเจออะไรก็มาบอกกันด้วยนะจ้ะ เหอเหอ!

ที่มา: http://www.zheza.com/v2test/index.php?m=zhezamag&a=update&id=7313

ความเขื่อเกี่ยวกับผีกองกอย




ความเขื่อเกี่ยวกับผีกองกอย

ผีกองกอย เป็นชื่อผีชนิดหนึ่งของชาวอีสานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ผีชนิดนี้เป็นผีที่มีอยู่จริงทางภาคอีสาน เหตุที่เรียกว่าผีกองกอย เพราะเรียกตามเสียงเรียกร้องของผี เวลาที่ผีออกหากินจะส่งเสียงร้องดัง กองกอย กองกอย คนจีงเรียกว่าผีกองกอยตามเสียงดังกล่าว ความเป็นมาของผีกองกอยจะมีคำบอกเล่าต่างๆ กันออกไป และไม่มีหลักฐาน แน่นอนอะไร แต่ผีกองกอยตามความเชื่อของชาวอีสานบอกว่า เป็นผีผู้หญิง ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าผู้หญิงที่ถูกสิ่งศักสิทธิ์ลงโทษให้เป็นผีกองกอย จะต้องออกเร่ร่อนตามป่าเขาอย่างทรมาน มันต้องร้อง กองกอย กองกอยให้คนได้ยินทั่วเพื่อแสดงถึงความเจ็บปวดอันแสนทรมานจากการทำชั่ว เพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่ทำตามคนแก่เฒ่า ได้นำเอาพฤติกรรมของผีกองกอยไปสอนลูกหลานให้มีความเกรงกลัวในการคบชู้สู่ชาย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม


ที่มา:
http://webboard.mthai.com/21/2006-06-21/246010.html

ความเชื่อของชาวอีสาน

ผี:ความเชื่อของชาวอีสาน

คติความเชื่อเรื่องผีเป็นคติความเชื่อที่มีอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคน ซึ่งพยายามหาคำตอบในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ผีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนืธรรชาติ ที่อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์มีความผูกพันกันและได้แสดงพฤติกรรมร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี

ผี ในทัศนคติของชาวบ้านเป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้ให้ความหมายหรืออาจกล่าวได้ว่า ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยระบบประสาททั้งห้า หากมันเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ที่ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมระดับชาวบ้าน แม้แต่ในราชสำนักไทยแต่เดิมพิธีกรรมต่าง ๆ ก็มีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปปะปนอยู่มาก ความเชื่อเรื่องภูติผีนั้นฝังแน่นอยู่กับคตินิยมของคนไทยอย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่สมัยอดีต แม้แต่ทางบ้านเมืองก็ยังมีพระราชพิธีเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติผีอยู่ไม่น้อย ในรอบปีหนึ่ง ๆ เช่น การเซ่นสรวงพระเสื้อเมือง พระทรงเมืองและหลักเมือง รวมทั้งพิธีสอบสวนคดีความสมัยอดีตโดยใช้พิธีลุยไฟ ดำน้ำ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลย ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวเป็นความเชื่อในภูติผีวิญญาณทั้งสิ้น แม้แต่สมัยกรุงสุโขทัยซึ่งศาสนาพุทธกำลังเจริญรุ่งเรือง การนับถือผีสางก็ยังนิยมกันอยู่ ปัจจุบันในท้องถิ่นอีสานบางแห่งความเชื่อเรื่องผีก็ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชุมชนอยู่มาก

สำหรับคนอีสาน ผีคือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทราบว่ามีมาแต่เมื่อใดหรือมีมาอย่างไร ผีเหล่านี้ประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ เช่น ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้าน ผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น ผีปอบ ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา จนแทบจะแยกกันไม่ออกว่าพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนา หรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อเรื่องผี

ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานเข้ามาผูกพันในการประกอบอาชีพ ซึ่งว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน การทำนาอันเป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับสภาพของธรรมชาติดินฟ้าอากาศ จะได้ผลหรือไม่ได้ผลขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และสิ่งที่นับว่ามีความสำคัญต่อการทำนาก็คือน้ำ น้ำที่ได้จากน้ำฝน ซึ่งชาวอีสานเชื่อว่ามีผีเป็นผู้คอยบันดาลให้ฝนตก ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ มีน้ำเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอำนาจดลบันดาลของผีแถน ก่อนลงมือทำนาเมื่อย่างเข้าฤดูฝนจึงต้องมีพิธีกรรมขอฝนจากผีแถน เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีน้ำมากพอที่จะได้ทำนา เมื่อได้น้ำฝนแล้ว ก่อนลงมือหว่านข้าวกล้าก็จะมีพิธีไหว้ผีระจำที่นา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าผีตาแฮก เพื่อข้าวกล้าจะได้เจริญงอกงามไม่ถูกรบกวนจากศัตรูข้าว ได้ข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิต เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็มีพิธีสู่ขวัญลานนวดข้าว สู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคลมีข้าวได้พอกินตลอดปี ก่อนที่จะถึงฤดูกาลทำนาในปีต่อไป ซึ่งล้วนแต่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับผีทั้งสิ้น

ผีเป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจเหนือธรรมชาติที่ชาวอีสานให้ความสำคัญมาก เพราะผีผูกพันอยู่กับการดำเนินชีวิต พอแรกเกิดชีวิตก็ผูกพันกับผีทันที คือมีพิธีการสู่ขวัญเด็กแรกเกิด เพื่อให้ผีที่เชื่อว่าเป็นผีร้ายไม่ให้มาทำลายชีวิตที่จะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า และให้ผีที่ดีมาคุ้มครองปกปักรักษาให้เป็นคนดีมีความเจริญ มีวิถีทางในการดำเนินชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า เมื่อเจริญวัยขึ้นการดำเนินชีวิตตามฮีตตามคอง อันเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของชาวอีสานแต่อดีต ความเชื่อเรื่องผีก็เข้าไปมีบทบาทอยู่มาก ในหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเมื่อถึงวัยอันควรที่จะมีชีวิตคู่เข้าสู่พิธีแต่งงาน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะดูว่าชายที่จะมาเป็นลูกเขย มีความประพฤติเป็นอย่างไร ตามฮีตตามคองหรือไม่ ประพฤติตัวผิดผีหรือไม่ เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงพิจารณาเป็นที่พอใจแล้วก็จะจัดให้มีพิธีแต่งงาน ในพิธีแต่งงานนั้นช่วงหนึ่งจะมีพิธีบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้ทราบว่าชายหญิงคู่นี้จะใช้ชีวิตร่วมกัน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผีปู่ย่าตายายจงมารับรู้ มาปกปักรักษาให้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองมีการครองเรือนที่มีแต่ความสุข อย่าให้ความทุกข์มากล้ำกราย แม้ถึงคราวเจ็บป่วยความเชื่อเรื่องผีก็เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยชาวอีสานจะพิจารณาจากอาการ จากลักษณะของโรคที่เป็นแยกออกเป็นสองลักษณะคือ โรคที่เกิดจากพยาธิหรือเชื้อโรคนั่นหมายถึงเป็นโรคที่เกิดจากธรรมชาติ ต้องหายามารักษาซึ่งอาจได้จากสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไปหรือยาจากสาธารณสุข และถ้าไม่ใช่โรคที่เกิดจากธรรมชาติก็เกิดจากการกระทำของภูติผี หรือว่าคนป่วยไปกระทำการอันใดอันหนึ่งที่เป็นการผิดผีมา ก็จะมีวิธีการรักษาอีกแบบหนึ่ง คือใช้นางเทียม (ผู้ทรงผีฟ้า) เข้าประทับทรงติดต่อกับผีสอบถามว่าผู้ป่วยได้กระทำการอันใดที่เป็นการผิดผีหรือไม่ ถึงได้สำแดงให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น เมื่อทราบจากนางเทียมว่าผู้ป่วยไปกระทำการอันใดที่เป็นการผิดผี ก็ให้ผู้ป่วยไปแก้ไขตรงจุดนั้น ด้วยการแต่งพิธีกรรมเพื่อขอขมาบูชาเซ่นสรวง ซึ่งบางรายก็หายจากการเจ็บป่วยจริง ๆ ก็มี อาจเป็นเพราะความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่ทำให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยก็เป็นได้

อำนาจเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผียังเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวอีสานแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อมีคนตายชาวอีสานจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการส่งวิญญาณของผู้ที่จากไปให้ไปสู่ภพที่มีแต่ความสงบสุข ดินแดนที่ชาวอีสานเชื่อว่ามีความสงบสุขก็คือสวรรค์ จากความเชื่อที่ว่าถ้าได้ทำบุญให้ผู้ตายแล้ว ผู้ตายจะไปมีสุขอยู่บนสวรรค์น่าจะส่งผลมายังญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง คือช่วยให้คลายทุกข์โศกจากการจากไปของญาติที่เสียชีวิต ถึงแม้เขาจะจากไปแต่ก็ไปพบกับความสุขอยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข สงบ สบาย แม้ผู้ตายจะตายไปนานแล้วก็ตาม ชาวอีสานก็ยังมีความเอื้ออาทรต่อผู้ตาย คือยังมีพิธีกรรมในฮีตเดือนเก้า การทำบุญข้าวประดับดินเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ให้ยังคงได้รับความสุขอยู่บนสวรรค์ โดยเชื่อว่าผีผู้ตายสามารถที่จะรับเอาส่วนบุญนี้ได้

ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา ไร่ นา และหมู่บ้าน สังเกตได้จากการมีพิธีกรรมทำบุญให้ผีอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็จะมีการบนบานขอขมาต่อภูติผีวิญญาณ เพื่อเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจของตนกลับคืนมา เปรียบเสมือนผีคืออำนาจเหนือธรรมชาติ ชาวอีสานมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา มีภูติผีวิญญาณสิงสถิตอยู่ซึ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ ในทัศนะเช่นนี้เป็นการเอื้อต่อการดำเนินชีวิตให้มีความสมดุลย์ในสังคมอีสาน ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ความเชื่อเรื่องผีในสังคมอีสานคล้ายกับกฎหมายในปัจจุบัน คนอีสานจึงยึดถือปฏิบัติตามฮีตสอบสองคองสิบสี่ ซึ่งหมายถึงบรรทัดฐานแห่งการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน อันมีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มาก

ความเชื่อเรื่องผีมีความผูกพันกับชีวิตของคนอีสานตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เกี่ยวข้องกับชีวิตตลอดเวลา อำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีผีเป็นตัวแทน จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของวิถีชีวิตชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งอดีต ผีทำให้ชาวอีสานดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเดี่ยวกันด้วยความราบรื่น สงบสุข โดยไม่ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีศาลมาคอยตัดสินคดีถึงสิ่งถูกผิด ความเชื่อเรื่องผีและฮีตคองในท้องถิ่นจะเป็นสิ่งที่ชี้ว่า อย่างนั้นดีอย่างนี้ไม่ดี ความเชื่อเรื่องผีความสำคัญอาจจะไม่อยู่ที่ผี แต่อยู่ที่ “ จิตสำนึกของมนุษย์ ” ก็เป็นได้

จากเว็บ:http://www.school.net.th/library/create-web/10000/religion/10000-4569.html

ผีปอบอาละวาด เมืองน้ำดำ

ชาวกาฬสินธุ์ เชื่อ ผีปอบอาละวาดอย่างหนัก ขณะที่เจ้าอาวาส วัดบ้านดอนยานาง ร่วมกับ ผู้นำทางจิตวิญญาณภาคอีสาน ทำพิธีจับผีปอบ ได้กว่า 100 ตัว

ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเหนือธรรมชาติ หลังจากที่พบว่ามีหญิงวัยกลางคน อายุประมาณ 30-40 ปี มีอาการคล้ายกับถูกผีเข้าซึ่งรายแรกคือ นางแดง สมวัย อายุ 36 ปีชาวบ้านจากตำบลหลุบ อำเภอเมืองส่วนอีกรายคือ นางกาญจนา หวังชาลี อายุ 31 ปี ชาวชุมชนโคกศรีอำเภอยางตลาด ซึ่งทั้งสองมีอาการตัวสั่น พูดจาไม่รู้เรื่องส่งเสียงร้องโหยหวนตลอดเวลาจนชาวบ้านหวาดผวาเพราะเชื่อว่า ถูกวิญญาณร้ายของผีปอบเข้าสิงและได้นำตัวหญิงทั้งสองคนไปที่วัดดอนยานาง ตำบลดอนสมบูรณ์เพื่อทำพิธีขับไล่วิญญาณร้าย โดยไม่ได้นัดหมายทันทีที่ได้นำตัว หญิงทั้งสองคนไปถึง ท่ามกลางกระแสข่าวทำให้มีชาวบ้านไปมุ่งดูจำนวนมาก

โดยพระครูประสุตธรรมสุนทร เจ้าอาวาส และพระลูกวัดรวมถึง ขจ้ำ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวอีสานได้ประกอบพิธีจับผีปอบด้วยการขึงด้ายสายสิญจน์ ไปทั่วบริเวณวัดโดยเฉพาะที่โบสถ์จะเป็นแท่นพิธีมีการนำตัวหญิงทั้งสองคนพรม น้ำมนต์ขณะที่ผู้ที่ถูกปอบเข้าก็ตะโกนเพ้อเจ้อไปต่างๆนานาบรรยากาศแตกตื่น เริ่มทวีคูณขึ้น หลังจาก ขจ้ำ ได้เข้าทรงโดยระบุว่ามีวิญญาณร้ายนับร้อยดวงของผีปอบกำลังจ้องที่จะทำร้ายคน ในหมู่บ้านจากบรรยากาศที่คึกคักกลายเป็นความหวาดกลัวชาวบ้านจึงได้พากันล้อม วงและตะโกนขับไล่ผีปอบขณะที่พระและขจ้ำ ก็ได้พรมน้ำมนต์พร้อมกับสวดเรียกวิญญาณผีร้ายไปลงกระบอกไม้ไผ่ตลอดทั้งคืน ได้ถึง 100 ตัวขณะที่การขับไล่วิญญาณร้ายที่เข้าสิงหญิงสาวทั้งสองคนก็สามารถขับไล่ได้เป็นปกติ

พระครูประสุตธรรมสุนทร เจ้าอาวาสวัดดอนยานาง กล่าวว่าในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีผีปอบอาละวาดเนื่องจากจะอยู่ในช่วงฤดูปล่อยของหรือครอบครู ส่วนผีปอบที่เกิดขึ้นนี้เป็นกลุ่มของผีจากคนที่มีวิชาอาคม ชาวบ้านที่ออกหาของป่าในช่วงกลางคืนจึงควรระวังสำหรับเครื่องสำหรับทำพิธี ไล่ผีปอบนั้นจะต้องทำขัน 5จัดเตรียมหญ้าแฝกและทำพิธีไล่โดยใช้คาถาที่ร่ำเรียนมาจากบรรพบุรุษ

พระครูประสุตธรรมสุนทร กล่าวอีกว่า ตามคำบอกเล่า คนอีสานเชื่อว่า"ผีปอบ" มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชา ไสยศาสตร์ มนต์ดำจนแก่กล้าสามารถใช้อำนาจอันเข้ม ขลังจากเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือทำลายชีวิตผู้อื่นได้ เช่น ทำ เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝัง รอยเสกหนังควายเสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณ ภูตผีไปเข้าสิง วิชาไสยศาสตร์เหล่านี้มีข้อห้าม ข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย

ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงระบุว่า เป็นเดียรฉานวิชา จะต้องระวังไม่ให้ละเมิด ข้อห้าม ข้อปฏิบัติโดยเด็ดขาด หากกระ ทำผิดข้อห้าม ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า "คะลำ" ก็จะเกิดโทษหนักในข้อ "ผิดครู"วิญญาณบรมครู จะลงโทษ ให้กลายเป็น ปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่กลายเป็นปอบก็คือ เล่น คาถาอาคม อย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชามนต์ดำไปทำลาย ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัว บาปกลัวกรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรมกระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมา เข้าตัวเองกลาย เป็นปอบไปในที่สุด

นายจิระพงษ์ ภูช่างทอง อายุ 53 ปี ญาติผู้ที่ถูกผีปอบเข้า กล่าวว่าเมื่อช่วงหัวค่ำหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วนางแดง สมวัยอยู่ดีๆกลับมีอาการเหม่อลอยพูดเป็นภาษาไม่เหมือนภาษาคนและฟังไม่รู้เรื่อง ญาติพยายามถามเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ แถมยังทำท่าทางแปลกเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ ซึ่งเป็นอาการของคนถูกผีปอบเข้าสิงญาติจนปรึกษากันและนำตัวไปให้พระทำพิธี ไล่ผีปอบทั้งนี้ที่ผ่านมาทราบว่านางแดงไม่เคยไปลบหลู่หรือล่วงเกินสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใดคาดว่าผีที่เข้าสิงน่าจะเป็นผีปอบที่ถูกขับไล่มาจาก หมู่บ้านอื่นและเข้ามาสิงนางแดงเจ้าอาวาสวัดดอนยานาง ต.ดอนสมบูรณ์อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยชาวบ้านกว่า 300 คนร่วมกันทำพิธีไล่ผีปอบ หลังจากเข้าสิงชาบ้าน 2 รายโดยชาวบ้านเชื่อว่าผีปอบกำลังอาละวาดเข้าสิงชาวบ้าน

ที่มา
http://news.sanook.com

พระภูมิเจ้าที่

พระภูมิเจ้าที่

เปิดต้นตำนานพระภูมิเจ้าที่

ตามความเชื่อแล้วถือกันว่าพระภูมิเจ้าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมีพลังอำนาจสามารถคุ้มครองปกป้อง แก่ผู้ที่เคารพนับถือ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวมีส่วนซึ่งได้รับอิทธิพลการสืบทอดทางความเชื่อมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ผสมผสานกับศาสนาพุทธจนเกิดเป็นความเชื่อที่ว่า พระภูมิเจ้าที่ คือเทวดาหรือเทพารักษ์ อันมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองแก่พื้นที่บนโลกบริเวณส่วนต่างๆให้บังเกิดสันติสุข และความปลอดภัย การตั้งหรือการสร้างศาลพระภูมิ ก็เพื่อที่จะให้พระภูมิหรือเทพารักษ์เอาไว้เป็นที่สำหรับสถิต อันมีความเชื่อเล่าสู่กันมาว่า นานมาแล้วยังปรากฏว่ามีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีพระนามว่า ?ท้าวทศราช? ปกครองกรุงพาลี อย่างขาดทศพิธราชธรรมนำพามาซึ่งความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แม้พระนางสันทาทุกข์พระมเหสี และพระโอรสทั้ง 9 พระองค์จะทูลขอให้พระบิดาทรงยุติพฤติกรรมดังกล่าวแต่ก็ไม่เป็นผล ร้อนถึงองค์พระนารายณ์ต้องลงมาปราบโดยการจำแลงกายเป็นพราหมณ์เตี้ยเดินทางมาขอรับบริจาคทานที่ดินจากท้าวทศราช สืบเนื่องด้วยขณะนั้นเองท้าวทศราชกำลังกระทำการเสริมอิทธิฤทธิ์บุญบารมี(พิธียัญญกิจ)เล็งเห็นว่าการบริจาคทานแก่พราหมณ์เตี้ยจะเป็นการเสริมฤทธิ์อำนาจของตนให้มีสูงขึ้น จึงพูดกับพราหมณ์เตี้ยว่า ?ท่านอยากได้ทานที่ดินเพื่อประกอบกิจใดใดก็ขอให้บอก เราจะให้? พราหมณ์เตี้ยจึงทูลขอที่ดินเพียงแค่ 3 ย่างก้าวเท่านั้น เนื่องด้วยขณะนั้นเองท้าวทศราชมิได้คิดไตร่ตรองให้ดีจึงทรงพระราชทานที่ดินจำนวน 3 ย่างก้าวให้ เมื่อกลอุบายสำเร็จพระนารายณ์จึงคืนร่างเดิมพร้อมทั้งเหยียบเท้าไปบนที่ดินจำนวน 3 ย่างก้าวตามที่ขอไว้ กล่าวคือ ก้าวแรกเหยียบไปยังโลกมนุษย์ ก้าวสองเหยียบไปยังโลกสวรรค์ ก้าวสามเหยียบไปยังโลกนรก ท้าวทศราชจึงไม่มีที่ดินอยู่อาศัยต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ต่อมาพระนารายณ์เห็นใจท้าวทศราชจึงลดโทษให้ด้วยการยินยอมให้ท้าวทศราชมีที่อยู่อาศัย แต่ต้องขออนุญาตและกระทำการบูชาพระภูมิเจ้าที่ในบริเวณนั้นเสียก่อน ซึ่งก็คือการบูชาพระโอรสทั้ง 9 ของพระองค์นั้นเอง ต่อมาจึงเกิดเป็นประเพณีการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ขึ้นสืบต่อกันมาจวบจนปัจจุบัน ดังนี้

1.พระชัยมงคล ปกครองบ้านเมือง
2.พระนครราช ปกครองป้อมปราการ
3.พระเทเพน ปกครองป่าเขา
4.พระชัยศพณ์ ปกครองยุ้งฉาง
5.พระคนธรรพ์ ปกครองเรือนหอ
6.พระธรรมโหรา ปกครองสวน ไร่ นา
7.พระเทวะเถระ ปกครองวัด
8.พระธรรมิกราช ปกครองพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งปวง
9.พระทาสธารา ปกครองห้วย หนอง คลอง บึง และลำธาร เป็นต้น

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=140.0

ผีบ้านผีเรือน

ผีบ้านผีเรือน

ผีบ้านผีเรือน มี ลักษณะต่างจากผีทั่วไปคือ จะอยู่ในรูปของวิญญาณ ศักดิ์สืทธิที่เจ้าบ้าน เคารพกราบไหว้ จะคอยคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้าน เมื่อถึงเทศกาลเช่นปีใหม่หรือวันเกิด เจ้าบ้านที่มีความเชื่อจะทำการ เซ่นไหว้ ลักษณะรูปร่างจะเหมือนคนปกติ ใส่ชุดไทย บ้างก็ว่า ผีบ้านคือผีประจำหมู่บ้าน ส่วนผีเรือนก็คือผีประจำเหย้าเรือน และเรียกรวมกันว่าผีบ้านผีเรือน

บางครั้งเรียกว่า "ด้ำ" อย่างเช่นคนที่ดวงตกสุดๆ จะทำอะไรก็ดูแย่ จะมีคำที่เรียกว่า "ผีซ้ำ ด้ำพลอย" อยู่

ความเชื่อในการนับถือผีบ้านผีเรือน

ลักษณะความเชื่อ

ความเชื่อในการนับถือผีบ้านผีเรือน เป็น วัฒนธรรมส่วนหนึ่งที่ชาวนครไทยได้รับสืบ ทอดมาจากปู่ย่าตายาย ทั้งนี้เพราะระบบครอบ ครัวมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น สิ่งใด ที่บรรพบุรุษทำไว้ก็จะพากันทำตาม ด้วย เชื่อว่ากระทำแล้วทำให้สังคมหรือบุคคลในครอบ ครัวปกติสุข ชาวนครไทย เรียกผีบ้านผีเรือน ว่า ผีพ่อเฒ่าเจ้าเรือน ผีพ่อเฒ่าใหญ่ ผีเหย้าผี เรือน ผีเหล่านี้เป็นผีบรรพบุรุษที่ตายไป เช่น ปู่ย่าตายาย ผู้ที่นับถือผีเรือนจะทำหิ้ง ขนาด 1-2 ฟุต วางของใช้ของบรรพบุรุษ เช่นพระห้อยคอ หนังสือ เสื้อผ้า ฯลฯ พิธีนี้ชาว นครไทยเชื่อว่าถ้าปีใดไม่ทำพิธีเซ่นไหว้ผีบ้าน ผีเรือน ผีจะมารบกวนคนในบ้านให้เจ็บ ป่วย สามี-ภรรยาจะทะเลาะกัน เด็กเล็กร้องให้ทั้ง คืน ถ้าครอบครัวใดทำพิธีเซ่นไหว้จะมีแต่ ความสุขความเจริญ

ความสำคัญ

การจัดพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีบ้านผีเรือน มักจะ ให้ผู้สูงอายุเป็นผู้ทำพิธี จึงทำให้ผู้สูง อายุมีความหมายต่อลูกหลานเป็นการให้ความสำคัญ แก่ผู้ควรเคารพ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ ความ รู้สึกโดดเดี่ยวจึงไม่มี ทำให้ลูกหลานมีความ กตัญญูต่อบรรพบุรุษของตน

พิธีกรรม

การเซ่นไหว้ผีบ้านผีเรือนนี้นิยมกระทำในวันตรุษ วันสารท วันเกิดของบรรพบุรุษ วันเอาข้าวขึ้นยุ้ง วัน รับขวัญ โดยผู้ทำพิธีจะเลือกเอาวันใดวันหนึ่ง ทำการเซ่นไหว้ บางบ้านจะเซ่นด้วยอาหารคาวหวาน ที่บรรพบุรุษชอบ บางบ้านเซ่นด้วยหัวหมู ไก่ หมาก พลู ขนม บุหรี่ เหล้า ดอกไม้ (นิยมใช้ดอกพุด บางบ้านจุด ตะเกียง บางบ้านจุดเทียนผู้ทำพิธีจะจุดธูปบอก กล่าวผีบ้านผีเรือนว่า "ลูกหลานเอาของ............ มาเซ่นไหว้เชิญมารับประทาน และขอให้คุ้มครอง........... ให้อยู่ดีกินดีและร่ำรวย" บางครั้งหากบ้านใดมี คนป่วยหรือมีความทุกข์ ต้องการให้ผีเรือนมาช่วย ก็ อาจจะเซ่นไหว้ และเมื่อหายทุกข์หรือหายป่วย จะต้อง เซ่นไหว้หรือแก้บนตามที่บอกกล่าวผีบ้านผีเรือนไว้

จาก
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://kanchanapisek.or.th/kp8/culture/////////psl/phis332.html

ผีอำ

ผีอำ

ผีอำ คือ คำเอ่ยของคนที่คิดว่าถูกผีหลอกในขณะนอนครึ่งหลับครึ่งตื่น มีอาการที่รู้สึกแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือขยับตัวไม่ได้ในขณะนอน หรือนั่งเหมือนมีคนมานั่งทับบนตัว ว่ากันว่า เกิดจากการนั่ง หรือนอนผิดท่า ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ทำให้ขยับตัวไม่ได้

ทางแพทย์อธิบายว่าเกิดจากการ ที่สมองตื่นไม่พร้อมกัน

สมองเรานั้นมีบริเวณต่างๆ ที่ทำหน้าที่ต่างๆ บริเวณด้านหน้าจะทำหน้าที่สั่งให้เคลื่อนไหว ส่วนรับความรู้สึกนี่จะเป็นแกนกลาง กับด้านค่อนมาหลังหน่อย

เวลาเราตื่นสมองจะมีกระแสไฟฟ้าเป็นตัวทำงาน เวลาเราหลับกระแสเหล่านี้ก็ลดลง (เข้าสู่ระยะพัก) ดังนั้นเมื่อเราตื่น ถ้าบริเวณรับความรู้ตัวตื่น แต่บริเวณสั่งการเคลื่อนไหวยังไม่ตื่น ก็เป็นอาการผีอำ แต่ก็มี โรคบางโรคที่มีลักษณะเหมือนกันนี้เรียกว่า Lockin Syndrome จะรู้ตัวแต่ขยับอะไรไม่ได้ ได้แต่กลอกลูกตาไปมา

อาการของผู้ที่ถูกผีอำ
ว่ากันว่า เวลาที่เราใช้หลับนอนในตอนกลางคืนนั้น ระยะเวลาครึ่งแรกของกลางคืน คือระยะตั้งแต่หัวค่ำถึง 2 ยาม เป็นเวลาที่นอนหลับสนิทแล้วจะได้พลังงานและเป็นสุขมากกว่าระยะเวลานอนในครึ่งหลังของเวลากลางคืน

เวลานอนตั้งแต่ 2 ยามล่วงไปแล้ว จะนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก คนเราจึงมักจะฝันในระยะครึ่งหลัง ของเวลากลางคืน และส่วนมากจะฝันได้มากในเวลาก่อนใกล้รุ่ง ความฝันมักเกิดขึ้นเมื่อเวลานอนหลับไม่ค่อยสนิท ซึ่งจะเป็นการแสดงออกมาของจิตใจ ความฝันจะช่วยให้ได้สิ่งซึ่งต้องการที่เวลาตื่นอยู่ไม่อาจได้ ความฝันจะช่วยให้ เราเป็นผู้มีอำนาจ มีเงิน บางทีความฝันก็แสดงออกมาถึงจิตใจและอารมณ์ที่มีอยู่ เช่น ความวิตกหวาดกลัว ความไม่พึงพอใจ ความเศร้าสลด ฯลฯ ก็จะมีฝันร้าย

ถ้านอนฝันแล้วออกเสียงมาด้วยก็เรียกกัน ละเมอ มีการนอนฝันที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น อีกอย่างหนึ่งเรียกกันว่า ผีอำ คงมีคนเคยถูกผีอำมาบ้าง เวลาที่นอนอใกล้จะหลับ หรือหลับแล้วกำลังจะตื่น เป็นตอนที่รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง เกิดความฝันลางเลือน เหมือนมีของมาทับอก หายใจไม่ออก ชาไปทั้งตัวรู้สึกตัวว่าตัวลืมตาเห็นอะไรๆอยู่ แต่กระดุกกระดิกตัวไม่ได้ ร้องเรียกให้ใครช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน ต่อมาสักครู่หนึ่งจึงจะรู้สึกตัว ลักษณะอาการดังกล่าวนี้เรียกกันว่า ผีอำ

ความจริง ไม่มีผีสางอะไรมาอำหรือมาทำอย่างไรทั้งนั้น

ถ้าจะเข้าใจเรื่องถูกผีอำนี้ ควรเข้าใจก่อนว่า ตามปรกติแล้วเลือดของเราจะมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ และมีฤทธิ์คงที่เสมอในเลือดจะมี โซเดียมไบคาร์บอเนตซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง และกรดคาร์บอนิค ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดอยู่ โดยมีอัตราส่วนคงที่ที่จะทำให้เลือดอยู่ในสภาพเป็นด่างอ่อนๆ ตามปรกติตลอดเวลา

ผีอำ มักจะเกิดขึ้นในคนที่มีอารมณ์เครียด โดยมี โกรธ โลภ หลง เศร้าสลด วิตกกังวล หวาดระแวง กลัว อิจฉาริษยา ฯลฯ เมื่อเวลานอนเคลิ้มๆ(จะหลับหรือตื่น) ก็จะเกิดความฝันจากอารมณ์ไม่ดีของตน การมีอารมณ์ไม่ดีจะทำให้หายใจเข้าออกยาวๆเหมือนหอบ การหายใจเข้าออกเหมือนหอบสักพักหนึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์จะสลายตัวออกมาจากกรดคาร์บอนิคในเลือด เมื่ออกมามาก กรดคาร์บอนิคลดน้อยลง อัตราส่วนของด่างก็จะมีมากกว่ากรด เลือดก็จะมีฤทธิ์ด่างเพิ่มขึ้น

เมื่อเลือดมีฤทธิ์ด่างมากขึ้น ก็จะมีอาการอึดอัดในอกเหมือนมีของทับอก หายใจไม่ค่อยออก เหมือนหอบ ชามือชาเท้า มึนและเวียนศีรษะ รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนเหมือนจะขยับเขยื้อนตัวไม่ได้

สำหรับใครที่อยากลองดูว่าผีอำเป็นอย่างไร ลองหายใจเข้าออกยาวๆเร็วๆให้เหมือนหอบสักพักหนึ่ง ก็จะรู้สึกมึนศีรษะ มือชา หน้ามืด ฯลฯ พอกลั้นหายใจสักครู่ก็จะหาย เพราะกรดคาร์บอนิคจะเพิ่มขึ้นมาเป็นปกติ

คนร้องไห้มากๆสะอึกสะอื้นหายใจเข้าออกยาวๆเร็วๆก็จะมีอาการเช่นเดียวกัน ยิ่งร้องมากยิ่งชาไปทั้งตัว มึนศีรษะ หน้ามืดเป็นลมไปได้ ก็เพราะเหตุผลเดียวกันนี้

ใครถูกผีอำบ่อยๆ ควรจะได้ตรวจรักษาเรื่องจิตใจและอารมณ์เลวร้ายของตัวเอง จิตใจตัวเองนั่นแหละ เป็นผีที่อำตัวเอง


จาก
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความที่ได้รับความนิยม